แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 35
1
จัดฟันเด็ก ควรเริ่มตั้งแต่เด็กเล็ก เพื่อโครงหน้าที่ดูดี !

หากย้อนไปในสมัยอดีต จะทราบกันดีว่ามีความเชื่อหนึ่งที่ติดอยู่ในสังคมประเทศไทย คือ เด็กเล็กๆไม่ควรจัดฟัน ควรไปเริ่มจัดฟันในขณะที่เจริญเติบโตแล้ว เพราะการจัดฟันในเด็กเล็กจะทำให้ฟันมีปัญหา ?

แต่ในปัจจุบันนี้ ชุดกระบวนความคิดดังกล่าวถือว่าถูกลบล้างออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะ มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับทันตกรรมศาสตร์ ได้พบว่า ฟันที่เสียไม่ว่าจะ ฟันเก สบฟัน หรือ โรคเกี่ยวกับกระดูกขากรรไกร รวมถึงโครงสร้างใบหน้า สามารถรักษาได้ด้วยการจัดฟันตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือ วัยก่อนก่อนเจริญเติบโตเต็มที่ จะเห็นผลที่ดีกว่าในช่วงวัยเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

โดยในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านมารู้จักกับรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดฟันในเด็กเล็ก เพื่อลบล้างความเชื่อผิดๆในอดีต โดยมีดังต่อไปนี้


อายุเท่าไหร่ เหมาะสมต่อการจัดฟัน ?

เมื่อสมัยก่อนหลายๆคนอาจจะรอจนถึงอายุ 18 ปี หรือ 20 ปี ถึงจะเริ่มมีความคิดที่จะเข้ารับการจัดฟัน แต่จากการศึกษาพบว่า ช่วงอายุประมาณ 6-7 ขวบ หรือต่ำกว่า 10 ขวบ สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว และที่สำคัญฟันเด็กเล็กจะมีการเรียงตัวกันสวยงามเป็นธรรมชาติ และประสบความสำเร็จในการจัดฟันง่ายกว่าในช่วงวัยรุ่น หรือวัยหยุดการเจริญเติมโตแล้ว

ดังนั้น ผู้ปกครองที่มีลูกในช่วยวัยเด็กเล็ก หรือ อายุต่ำกว่า 10 ขวบ ควรรีบพาเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตัวเช็คสิ่งผิดปกในของฟัน เพื่อให้ได้รับการแก้ไขก่อนที่จะสายเกินไปนั่นเอง


ฟันเด็กเล็ก แบบไหนที่ควรรีบจัดฟัน ?

ต้องขอบอกก่อนเลยว่าในยุคสมัยนี้ ได้มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่เรียกว่า EF Line ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์จัดฟันเด็กเล็ก ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าสามารถช่วยให้ฟันของเด็กที่มีความผิดปกติกลับมาเป็นธรรมชาติได้โดยที่ไม่ต้องรอให้โตก่อน อีกทั้งยังสามารถทำให้โครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติเช่น คางยื่น คางยุบ สามารถกลับมาอยู่ในสภาพปกติได้อีกด้วย โดยเด็กเล็กที่มีรูปแบบฟัน หรือพฤติกรรมแบบไหนที่ควรรีบจัดฟัน ดังต่อไปนี้

– ฟันหน้ายื่น ถ้าหากว่าถ้าเด็กเล็กๆมีฟันในลักษณะนี้ ควรเข้ารับการจัดฟันเพื่อเข้าเข้าที่เป็นธรรมชาติ เพื่อนให้เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี รวมถึงเด็กที่มีฟันหน้ายื่นมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุฟันหักจากการถูกกระแทกมากกว่าเด็กเล็กที่มีฟันหน้าเรียงตัวปกติ

– การสบฟันผิดปกติ หากพบว่าเด็กเล็กๆมีการสบฟันที่ผิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะบนสบล่าง หรือล่างสบบน ควรรีบทำการจัดฟัน เพื่อให้การเรียงตัวของฟันกลับมาเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยให้ขากรรไกรไม่เกิดความผิดปกติอีกด้วย

– ช่องฟันห่าง หากมีรูปแบบฟันที่ห่าง จะทำให้ฟันแท้ที่เตรียมจะขึ้นมาแทนที่ เกิดการเกหรือทับซ้อน เรียงตัวกันไม่สวยได้ จึงควรรีบทำการจัดฟันก่อนที่ฟันแท้จะขึ้นมาแล้วก่อปัญหาในอนาคตได้

– ขากรรไกรมีความผิดปกติ ไม่ได้สัดส่วนกับใบหน้า ซึ่งในยุคสมัยนี้ มีนวัตกรรมทางทันตกรรมที่เรียกว่า EF line ซึ่งเป็นอุปกรณ์จัดฟันในเด็กเล็ก ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่าได้ผมดีมากสำหรับเด็กเล็กๆในเรื่องทำให้ฟันที่เรียงตัวผิดปกติกลับมาเป็นปกติได้ และยังทำให้โครงสร้างใบหน้ากลับมาเข้ารูปดังเดิมได้อีกด้วย

– มีอาการกลืนอาหารที่ผิดปกติ

– เด็กที่มีพฤติกรรม กัดเล็บ ดูดนิ้ว เป็นประจำ

– เด็กมีพฤติกรรมการนอนกรนเป็นประจำ


วิธีการดูแลรักษา หลังจากเด็กเล็กเข้ารับการจัดฟัน !

หลังจากที่เด็กเล็กเข้ารับการจัดฟันแล้วไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะละเลยได้ ยิ่งจัดฟันยิ่งจำเป็นต้องดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีกว่าปกติยิ่งขึ้น โดยมีขั้นตอนเบื้องต้นดังต่อไปนี้

– แปรงฟันเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เช้า (ตื่นนอน) และ เย็น (ก่อนนอน) เพื่อกำจัดคราบเศษอาหารและขนมต่างๆที่เด็กเล็กรับประทานเข้าไป

– พยายามให้บุตรหลานที่จัดฟันบ้วนปากทุกครั้ง หลังจากที่รับประทานอาหารหรือขนม

– ก่อนนอนทุกวันพยายามบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์

– พยายามช่วยบุตรหลานขัดฟันหลังจากแปรงฟันทุกครั้ง เพื่อขจัดคราบเศษอาหารที่ไม่สามารถแปรงฟันถึง

– ล้างอุปกรณ์จัดฟันเป็นประจำ

– พาบุตรหลายเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำ หรือ ทุกครั้งที่อุปกรณ์จัดฟันมีปัญหา

2
มอเตอร์โชว์: BMW เตรียมส่งยนตรกรรมหรูใหม่ XM Label Red และ 740d M Sport พร้อมเปิดรับจอง M2 รุ่นเกียร์ธรรมดาและ M Race Track Package

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เตรียมส่งรถยนต์ทรงพลังใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ BMW XM Label Red รถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์สุดโฉบเฉี่ยว สำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ SAV ระบบปลั๊กอินไฮบริดประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชื่นชอบการออกเดินทางผจญภัยด้วยเอกลักษณ์โดดเด่นสะกดทุกสายตาถึงขีดสุด, BMW 740d M Sport อีกหนึ่งรุ่นย่อยในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล อัดแน่นด้วยนวัตกรรมระดับไฮเอนด์สำหรับยนตรกรรมแห่งอนาคต

และยังพร้อมเปิดรับจอง BMW M2 ที่มาพร้อมกับสองตัวเลือกใหม่ กับแพ็คเกจ M Race Track เอาใจสายสปอร์ตสุดขั้ว ปลดล็อคความเร็วสูงสุดถึง 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพร้อมเบาะ M Carbon Bucket Seat และตัวเลือกรุ่นเกียร์ธรรมดา สำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบรถยนต์สายสปอร์ตสมรรถนะสูง และต้องการสไตล์การขับขี่แบบคลาสสิก โดยทั้ง 3 รุ่นนี้พร้อมจะมาตอบโจทย์สไตล์การขับขี่บนท้องถนนและการใช้งานยานยนต์ที่หลากหลายของบรรดานักขับและแฟนบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศไทย

BMW XM Label Red

ราคา 17,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW XM Label Red รถยนต์รุ่นเรือธงรุ่นนี้รวบรวมเอาที่สุดแห่งขุมพลัง ความพิเศษ และความหรูหรา เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและทรงพลังแบบไม่เหมือนใคร และยังเป็นรถยนต์ BMW M รุ่นทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างนิยามใหม่ให้กับการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าจากระบบปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูง โดยผลิตมาในจำนวนจำกัดทั่วโลกเพียง 500 คัน

ซึ่งภายในตัวรถจะมีเลขระบุ 1/500 อยู่บริเวณด้านล่างของจอ Control Display XM Label Red ยังได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบเปิดเผย ชอบการเดินทาง และหลงใหลรถยนต์ซึ่งเปี่ยมด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นเหนือขอบเขตเดิม ๆ

สัดส่วนที่ล่ำสันของรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์หรือ Sports Activity Vehicle (SAV) แบบมีพลวัตร ผสมผสานกับการออกแบบภายนอกที่โดดเด่น ลายเส้นที่ชัดเจน รวมถึงรูปลักษณ์ส่วนหน้าที่มีมาเฉพาะในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูใน Luxury Class การผสมผสานที่ลงตัวยิ่งขึ้นไปอีกขั้น คือการออกแบบที่เน้นย้ำคุณลักษณะเฉพาะของ XM Label Red ในฐานะรถยนต์ที่มุ่งเน้นการบรรลุขีดสุดแห่งสมรรถนะ ไฮไลท์ที่โดดเด่นคือสีตัวถังภายนอกสีดำ BMW Individual Frozen Carbon Black Metallic

กระจังหน้าทรงไตคู่ตามแบบฉบับ BMW M พร้อมขอบสองชั้นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ด้านหน้ามาในรูปทรงแนวนอนอันโดดเด่น ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงจากบีเอ็มดับเบิลยู M ขอบด้านนอกของกระจังหน้าทรงไตคู่แต่ละข้างยังตกแต่งด้วยสีแดง Toronto Red metallic ในขณะที่ขอบด้านในมากับไฟรูปทรงโค้งมนเป็นวงแหวนไฟที่ให้แสงอย่างคมชัดและต่อเนื่อง แถบเน้นสีมันวาวตัดกับพื้นผิวสีแบบด้านซึ่งส่องแสงระยิบระยับทำให้ภายนอกของ XM Label Red มีลักษณะที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ

XM Label Red ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo อันล้ำสมัย และระบบขับเคลื่อน M HYBRID ซึ่งให้กําลังรวมสูงสุด 748 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร เครื่องยนต์สันดาปยังให้กำลังเครื่องยนต์สูงสุด 585 แรงม้า ที่ 5,600 – 6,500 รอบต่อนาที

พร้อมแรงบิดสูงสุด 750 รอบต่อนาที ที่ 1,800 – 5,400 รอบต่อนาที ส่วนระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าให้กำลังมอเตอร์สูงสุดที่ 197 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 280 นิวตันเมตร นอกเหนือจากการจ่ายกำลังไฟฟ้าในระหว่างการเร่งความเร็วแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ายังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป

โดย XM Label Red สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลา 3.8 วินาที ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ M xDrive ช่วยถ่ายทอดกำลังที่เกิดจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าไปที่ล้อทั้งสี่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และตรงตามความต้องการใช้งานตลอดเวลา ระบบเฟืองท้าย M Sport ยังช่วยเสริมสมรรถนะของรถด้วยการกระจายกำลังขับเคลื่อนระหว่างล้อหลัง ช่วยให้ตัวรถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเสริมเสถียรภาพการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension Professional

มอบการควบคุมแบบสปอร์ตโดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ระบบช่วยการขับขี่รุ่น Professional ยังมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความเร็วของรถในระดับที่ต้องการและคงระยะห่างจากรถคันหน้าให้สม่ำเสมอเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รถยนต์อยู่ในเส้นทางอย่างคงที่ด้วยระบบบังคับพวงมาลัย เพื่อความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus ยังช่วยให้การจอดรถ และการบังคับรถทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

โทนสีดำและแดงยังนำรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและกลิ่นอายแบบสปอร์ตมาสู่ห้องโดยสารของ XM Label Red ตราสัญลักษณ์ XM สีแดงสุดโดดเด่นบริเวณใต้หน้าจอ Control display ควบคู่ไปกับแถบตกแต่งภายในคาร์บอนไฟเบอร์แบบซาติน ประดับด้วยด้ายเน้นสีแดงและสีน้ำเงิน เสริมมาดให้รถยนต์คันนี้เป็นรถตามแบบฉบับ M อย่างแท้จริง พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M มีส่วนประกอบตกแต่งในสีดำโครเมียม

พร้อมด้วยปุ่ม M และแป้นเปลี่ยนเกียร์คาร์บอนซึ่งมีสัญลักษณ์บวกและลบเป็นสีแดง พร้อมทั้งคุณสมบัติพิเศษเฉพาะของ XM Label Red จากตราสัญลักษณ์ที่ระบุโหมดการขับขี่แบบ Boost Mode บนแป้นเปลี่ยนเกียร์ด้านซ้าย ส่วนห้องโดยสารด้านท้ายแบบ M Lounge สุดพิเศษ ยังมอบความรู้สึกที่กว้างขวางให้กับผู้โดยสาร พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่หรูหรา

ผ้าบุหลังคายังเป็นเสมือนงานประติมากรรม 3 มิติ ลวดลายแบบปริซึมและเมื่อเปิดหลังคาก็จะพบกับหลอดไฟ LED กว่า 100 ดวงบนหลังคาที่ส่องสว่างอย่างงดงามยามค่ำคืน คอนโซลด้านบนยังบุด้วยหนังแบบ BMW Individual ทำให้การตกแต่งภายในสะดุดตาและหรูหราไปอีกขั้น นอกจากนี้ ยังมีชุดไฟตกแต่งภายใน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน ระบบระบายอากาศ ระบบเสียงรอบทิศทางจาก Bowers & Wilkins Diamond surround sound system พร้อมด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยอีกมากมาย

ราคา 6,719,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
740d M Sport รุ่นใหม่ สานต่อตำนานความเหนือชั้นของ BMW ซีรี่ส์ 7 ที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมเหนือระดับและความหรูหราล้ำสมัย พร้อมส่งต่อสุนทรียภาพในการขับขี่ ความสะดวกสบายในการขับขี่ทางไกลที่ไม่มีใครเทียบชั้น

โดยความปราดเปรียวอย่างเหนือชั้นของรถยนต์ซีดานรุ่นนี้ สะท้อนผ่านเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง ของเครื่องยนต์สันดาปแบบใหม่ ที่ผสานเทคโนโลยี 48V mild hybrid รุ่นล่าสุด พร้อมจะมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ในบรรยากาศที่สะดวกสบายพร้อมกันกับการสัมผัสประสบการณ์ดิจิทัล ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษในห้องโดยสาร ถือเป็นอีกขั้นของการตีความการเดินทางอย่างมีระดับ

740d M Sport ใหม่ โดดเด่นด้วยขุมพลังทรงสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบแถวเรียงความจุ 3.0 ลิตร บนเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานควบคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sport Steptronic

โดยเครื่องยนต์ดีเซลประสานพลังเข้ากับเทคโนโลยี 48V mild hybrid ให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังรวมสูงสุดถึง 299 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 670 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้านี้

ได้ยกระดับประสิทธิภาพและการทำงานของระบบขับเคลื่อนใน BMW ซีรี่ส์ 7 ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ น้องใหม่ในสายผลิตภัณฑ์ BMW ซีรีส์ 7 ยังดูทรงพลังและโดดเด่นเหนือชั้นด้วยกระจังหน้าไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์พร้อมไฟ Iconic Glow ไฟรูปตัว L ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งไฟด้านข้างรถและยังเป็นไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน มาในรูปทรงเรขาคณิตแบบกระจกเสริมให้ไฟท้ายดูเตะตายิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตัวถังรถที่ยาวเป็นพิเศษยังเพิ่มความสะดวกสบายอย่างเหนือระดับให้กับห้องโดยสารด้านหลังอีกด้วย

การตกแต่งภายในและอุปกรณ์ต่าง ๆ สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างการส่งต่อประสบการณ์ขับขี่อันปราดเปรียวให้แก่คนขับและสุนทรียภาพสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมสร้างบรรยากาศแบบไม่ซ้ำใคร สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง รวมทั้งระบบความบันเทิงภายในรถสุดล้ำสมัย แถบ BMW Interaction Bar ช่วยให้ผู้ขับขี่และรถยนต์ทำงานอย่างสอดประสานกันได้ดียิ่งขึ้น

ผสานฟังก์ชันการควบคุม ชุดไฟส่องสว่างสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร และยังสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ นอกจากนี้ ขนาดเบาะนั่งที่กว้างขวางยิ่งขึ้นของ 740d M Sport ยังมาพร้อมฟังก์ชันครบครันทั้งสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสารตอนหน้า และผู้โดยสารตอนหลัง ด้วยฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหลัง ระบบประตูอัตโนมัติ ระบบระบายอากาศสำหรับเบาะที่นั่ง และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน เพิ่มการไหลเวียนอากาศในห้องโดยสาร

ระบบจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาพร้อม Amazon Fire TV มอบประสบการณ์ความบันเทิงสุดพิเศษสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ประกอบด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 31.3 นิ้ว ความคมชัด 8K พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins รีโมทควบคุมแบบสัมผัสติดตั้งอยู่ที่แผงควบคุมบริเวณแผงประตู (BMW Touch Command)

ม่านบังแสงด้านหลังจะปิดโดยอัตโนมัติเมื่อระบบจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังทำงาน พร้อมเปลี่ยนห้องโดยสารด้านหลังของ 740d M Sport สู่เลานจ์ส่วนตัวเคลื่อนที่ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบนำทางแบบ Augmented View ที่ผสานการแสดงภาพจากกล้องหน้าเข้ากับระบบนำทาง และแสดงภาพบนจอหลังพวงมาลัย เพื่อเสริมระบบนำทางให้มีความแม่นยำและล้ำสมัยยิ่งขึ้น

ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) และระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรค (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist) เซ็นเซอร์ควบคุมความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) และระบบสร้างเสียงจำลองเตือนผู้ใช้ถนนรอบข้างติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ Parking Assistant รุ่น Plus และระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant รุ่น Plus มอบความอุ่นใจตลอดการเดินทางและทุกจุดหมายปลายทาง

M2 พร้อม Manual Transmission  ราคาจำหน่าย: 6,499,000 บาท
M2 พร้อมแพ็คเกจ M Race Track ราคาจำหน่าย: 6,999,000 บาท
(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

BMW M2 สุดยอดรถยนต์ในดวงใจของแฟน ๆ ตระกูล M มาพร้อมตัวเลือกใหม่ในการปรับแต่งสไตล์การขับขี่ที่ตรงใจคุณที่สุด ผ่านช่องทางการสั่งจองออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะเปิดให้คุณปรับตัวเลือกชุดแต่งได้ดั่งใจต้องการ ยังเพิ่มตัวเลือกใหม่ เอาใจสายสปอร์ตเต็มตัวที่ชอบอารมณ์ของการขับขี่แบบคลาสสิก

ด้วยตัวเลือกแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือนักซิ่งที่รักความสปอร์ตสุดขั้วด้วยตัวเลือกแพ็คเกจ M Race Track ที่เพิ่ม M Driver’s Package มาพร้อมเบาะนั่งสไตล์สปอร์ต M carbon ทรง Bucket Seat และระบบ M Driver ที่สามารถปลดล็อคความเร็วสูงสุดได้ถึง 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยลูกค้าสามารถสั่งจองได้อย่างง่ายดายบนช่องทางออนไลน์

เบาะนั่ง M Carbon ทรง Bucket Seat ในแพ็คเกจ M Race Track

หัวใจของ M2 คือขุมพลังเบนซิน 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo ส่งพลังสูงสุด 460 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 2,650 – 5,870 รอบต่อนาที โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 4.1 วินาที ส่งความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับแพ็คเกจ M Race Track และภายใน 4.3 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา

สำหรับ BMW M2 พร้อมแพ็คเกจ M Race Track มาพร้อมสมรรถนะแบบไดนามิกที่ผสานเข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังร่วมกับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เพิ่มการเปลี่ยนเกียร์ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยระบบการเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์โดยตรง พร้อมความสามารถในการลดเกียร์ลงหลายระดับจนถึงเกียร์ต่ำสุด ระบบส่งกำลังพื้นฐานนี้มีส่วนสำคัญในการเร่งความเร็วแบบทันทีทันใดได้อย่างน่าประทับใจ โหมดการขับขี่ M Drive Professional ช่วยเสริมความเร้าใจในการขับขี่ให้มากขึ้น

มาพร้อมระบบเฟืองท้าย M Sport เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อเปลี่ยนเลนหรือเร่งความเร็วออกจากโค้ง และเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น ช่วงล่าง Adaptive M Suspension ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้อย่างอิสระระหว่างรูปแบบการขับขี่แบบสะดวกสบายหรือสไตล์สปอร์ต พร้อมอวดโฉมล้อแม็กซ์สไตล์ 930 M ลาย Double Spoke ด้วยขนาด 19 นิ้วในล้อหน้า และขนาด 20 นิ้วในล้อหลัง

เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

ตัวถังภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงาและโคมไฟหน้าตกแต่งสีดำสไตล์ M และเสริมความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยระบบไฟหน้า Adaptive LED ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam assistant) ชุดเบรก M Compound สีแดงเงา และหลังคา M Carbon ภายในอวดโฉมการตกแต่งสไตล์สปอร์ตด้วยชุดไฟส่องสว่างภายในและภายนอกห้องโดยสาร (Ambient light)

หลังคาภายในดีไซน์ M Headliner สีดำ Anthracite และคอนโซลด้านบนบุด้วยหนังแบบ BMW Individual เสริมลุคที่แตกต่างภายในห้องโดยสารด้วยการตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M เข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M สามารถปรับแต่งความสะดวกสบายให้แก่ประสบการณ์การขับขี่ด้วย Comfort access จุดวางอุปกรณ์มือถือ และกาบบันไดดีไซน์ M แบบเรืองแสง ทั้งยังมาพร้อมกับพวงมาลัยสไตล์คาร์บอนที่มาพร้อมกับเกียร์ Paddle Shift (เฉพาะรุ่น M Race Track)

BMW Live Cockpit Professional นำเสนอจอแสดงข้อมูลสำหรับคนขับที่ทันสมัยผ่านจอโค้ง BMW Curved Display ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทำงานร่วมกับระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมระบบความบันเทิงและการสื่อสารล้ำสมัยด้วยจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจอแสดงข้อมูล 12.3 นิ้ว

นอกจากนี้ ระบบ BMW ConnectedDrive และ BMW Connected Package Professional ยังนำเสนอคุณสมบัติและบริการขั้นสูงมากมายที่ช่วยให้การขับขี่สะดวก มีประสิทธิภาพ และสนุกสนานยิ่งขึ้น ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon มอบประสบการณ์เสียงคุณภาพสูงอันดื่มด่ำที่สามารถปรับแต่งได้ จึงช่วยให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ประทับใจยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ล้ำสมัย อย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go (ในรุ่น M Race Track) รวมถึงระบบ Driving Assistant และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติในทั้งสองรุ่น บีเอ็มดับเบิลยู M2 มาให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีฟ้า Zandvoort Blue Solid, สีขาว Alpine White, สีเทา Brooklyn Grey Metallic, สีดำ Black Sapphire Metallic

3
7 การรับรองสำคัญ ที่ทำให้ฉนวนกันความร้อน ยืนหนึ่ง

“ฉนวนกันความร้อน” ถือเป็นวัสดุสำคัญสำหรับทั้งบ้าน สำนักงานออฟฟิศ และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพราะช่วยให้การประหยัดพลังงานและสร้างบรรยากาศความเย็นสบายให้เกิดขึ้นภายในพื้นที่ อันจะส่งผลให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยตัวเลือกที่มีอยู่มากมายในตลาด จึงทำให้เราอาจพลาดเลือก ฉนวนกันความร้อน ที่ไม่มีคุณภาพได้ การพิจารณามาตรฐานการรับรองต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเปรียบเทียบได้ดีกว่าฉนวนกันความร้อนใดดีที่สุด ซึ่ง ฉนวนกันความร้อนนั้น ได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลายด้วยเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพผ่านการรับรองที่ได้มาตรฐานสำคัญถึง 7 อย่างด้วยกัน ดังต่อไปนี้


1.ประหยัดพลังงานได้จริง

ฉนวนกันความร้อนของ ได้รับการรับรอง “ฉลากประสิทธิภาพสูง” หรือที่เราคุ้นเคยกันดีกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ด้วยเหตุที่เป็นฉนวนซึ่งมีค่าความต้านทานความร้อนสูงตามเกณฑ์ที่กำหนด เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเมื่อติดตั้งฉนวนกันความร้อนในพื้นที่ จะช่วยในการป้องกันความร้อนและช่วยประหยัดพลังงานได้จริง


2.ไม่ลามไฟ

ฉนวนกันความร้อน มีคุณสมบัติในการไม่ลามไฟ ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM E84 และ BS476 ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า “ไม่ลามไฟ” แล้วดีอย่างไร คำตอบก็คือ จะช่วยลดความรุนแรง และป้องกันอัคคีภัยได้ดีมากขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายน้อยลงเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ซึ่งจะดีอย่างมากต่อโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีเครื่องจักรจำนวนมาก ที่อาจอัคคีภัยได้ทุกเมื่อ ฉนวนกันความร้อนที่ไม่ลามไฟ จะช่วยป้องกันความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ เพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินได้มากขึ้น


3.เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ฉนวนกันความร้อนได้รับฉลาก Green Label หรือ ฉลากเขียวในการรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นฉนวนใยแก้ว ที่ผลิตจากแก้วรีไซเคิล 100% และยังผลิตภายใต้กระบวนการที่ควบคุมดูแลให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งการที่ฉนวนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น จะทำให้ชุมชนรอบบริเวณบ้าน หรือโรงงานมีความปลอดภัยมากขึ้น ถือเป็นภาพลักษณ์ที่ดีที่ได้มีส่วนในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัว


4.ปลอดภัยต่อสุขภาพผู้คน

นอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ฉวนกันความร้อน ยังเป็นมิตรกับชีวิตด้วยเช่นกัน การันตีด้วยการรับรองจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ว่า ไม่เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ ทั้งนี้ ฉนวนที่นำมาใช้ติดตั้งในบ้าน ในโรงงานนั้น หากมีสารหรือฝุ่นผงที่เป็นละอองอันตรายแล้ว การหายใจของเราก็อาจสูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การที่ฉนวนกันความร้อน ได้รับการรับรองจาก WHO ว่าปลอดภัย จึงทำให้มั่นใจได้ว่า เราจะอยู่ร่วมกับฉนวนได้อย่างร่มเย็นและมีความสุขได้อย่างแท้จริง


5.ทนต่อน้ำและความชื้น

ฉนวนกันความร้อนได้รับการรับรองเรื่องการทนต่อความชื้น ซึ่งมากกว่าฉนวนทั่วไปถึง 10 เท่า เหตุผลก็เพราะมีการเคลือบสาร Hydro Protect เอาไว้ในเนื้อฉนวน ซึ่งข้อดีก็คือ จะทำให้สามารถคงอายุการใช้งานด้วยความเป็นฉนวนที่มีประสิทธิภาพได้อย่างยาวนาน

ทั้งนี้ เราต้องเข้าใจด้วยว่า ฉนวนที่ติดตั้งไปในตัวบ้าน หรือโรงงาน สำนักงานแล้ว เวลาฝนตก อากาศเปลี่ยน ก็จะได้รับความชื้นสะสมไปเรื่อย ๆ ไม่มากก็น้อย การที่ฉนวนมีความทนต่อความชื้น จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะยืดอายุการใช้งานฉนวนไม่ให้เสียหายอย่างรวดเร็ว


6.ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับประเทศ

ฉนวนกันความร้อนได้รับการรับรองว่าเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพ มาตรฐานระดับประเทศ ผ่านตราสัญลักษณ์ MIT หรือ Made In Thailand ทำให้มั่นใจได้ว่า จะได้รับประสิทธิภาพจากการใช้งานตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว การใช้ฉนวนกันความร้อนที่ได้รับการรับรองคุณภาพจะช่วยลดความเสียหาย และลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบการควบคุมจัดการที่ไม่ได้มาตรฐานได้เป็นอย่างดี


7.เป็นฉนวนขาวปราศจากฟอร์มาดีไฮด์

เนื่องจากฉนวนกันความร้อนนั้นจะได้รับการติดตั้งภายในพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันกับผู้คน อีกทั้งยังต้องสัมผัสอุณหภูมิที่ร้อนเย็นหลากหลาย หากตัวฉนวนมีสารเคมีที่เป็นอันตราย ก็อาจกลายเป็นไอระเหยเข้าสู่ร่างกายคนได้

ด้วยเหตุนี้เอง จึงมุ่งมั่นพัฒนาฉนวนให้ปลอดภัยต่อการใช้งานมากที่สุด โดยปัจจุบันฉนวน ได้พัฒนาจนกระทั่งได้รับการรับรองแล้วว่าเป็นฉนวนรายแรกในประเทศไทยที่ปราศจากสารฟอร์มาลดิไฮด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ โดยได้ผ่านการรับรองจาก EUCEB มาตรฐานยุโรป (European Certification Board for Mineral Wool Products) ว่าเส้นใยในฉนวนกันความร้อนนั้น ย่อยสลายได้ และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ฉนวนกันความร้อน ไม่ว่าจะใช้กับบ้าน ออฟฟิศสำนักงาน หรือว่าโรงงานอุตสาหกรรม ก็จำเป็นต้องเลือกใช้ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานการผลิต และได้รับการตรวจสอบพื้นที่จริง ออกแบบการแก้ไขปัญหา และติดตั้งจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพราะการแก้ไขปัญหาความร้อนสะสมนั้นไม่ใช่เรื่องที่มองเห็นหรือประเมินได้ด้วยตาเปล่า แต่จะต้องมีการวัดค่าความร้อน และคำนวณตำแหน่ง ปริมาณการติดตั้งฉนวนกันความร้อนอย่างเหมาะสมด้วย

4
หมอออนไลน์: มะเร็งลำไส้เล็ก (Small intestine cancer)

มะเร็งลำไส้เล็ก พบได้ค่อนข้างน้อย พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย พบมากขึ้นตามอายุ อายุเฉลี่ยที่พบประมาณ 60 ปี

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่และการดื่มสุราจัด
    การกินอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง เนื้อแดง เนื้อสัตว์หมักเกลือหรือรมควัน
    การมีประวัติเป็นติ่งเนื้อในลำไส้ชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (familial adenomatous polyposis) หรือโรคลำไส้อักเสบ ที่ชื่อว่า โรคครอห์น (Crohn’s disease)
    การมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
    การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นมะเร็งทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี) ทางเดินปัสสาวะ (ไต กระเพาะปัสสาวะ) รังไข่ มดลูก สมอง หรือผิวหนังซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

อาการ

มีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ ซีด น้ำหนักลด อาจมีอาการปวดท้องรุนแรงและอาเจียนจากภาวะลำไส้อุดกั้น บางรายอาจมีอาการดีซ่านร่วมกับถ่ายอุจจาระสีซีดขาวจากภาวะน้ำดีอุดกั้น หรือคลำได้ก้อนในท้อง

ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออก (ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ โลหิตจาง)

มะเร็งมักลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง แอ่งเหนือไหปลาร้า และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก) เกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ที่มะเร็งแพร่กระจายไป

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยเอกซเรย์ลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม ตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้กล้องส่องตรวจลำไส้และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด บางรายอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัด ขึ้นกับชนิดของเซลล์มะเร็งและระยะของโรค

ผลการรักษา หากเป็นมะเร็งระยะแรก การรักษาได้ผลดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 85) แต่ถ้าเป็นมะเร็งระยะท้าย การรักษาได้ผลไม่ดี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 40)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องบ่อยหรือปวดท้องรุนแรง, ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ, ซีด, ตาเหลืองตัวเหลือง และอุจจาระสีซีดขาว, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้เล็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงจึงไม่อาจหาทางป้องกัน

อย่างไรก็ตาม ก็อาจลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้เล็กด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง เนื้อแดง เนื้อสัตว์หมักเกลือหรือรมควัน
    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือดหรือถ่ายดำ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

5
สร้างอาชีพ จากการขายต้มจืดผักกาดดองใส่กระดูกหมู เมนูไทยคลาสสิก ซดน้ำคล่องคอ รสชาติกลมกล่อม

อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องความสมดุลของรสชาติและต้มจืดผักกาดดองซี่โครงหมูเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความกลมกลืนนี้ ซุปใสนี้ผสมผสานรสเค็มและเปรี้ยวเล็กน้อยของผักกาดดองเข้ากับรสอูมามิเข้มข้นของซี่โครงหมูตุ๋นเป็นอาหารพื้นบ้านยอดนิยมที่ได้รับความนิยมเนื่องจากให้ความอบอุ่นและคุณค่าทางโภชนาการมีรสชาติกลมกล่อมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ วิธีทำก็ไม่ยากสามารถทำกินเองได้ง่าย ๆ

วัตถุดิบ
ในการทำซุปแสนอร่อยนี้ คุณจะต้องมี:
ซี่โครงหมู 500 กรัม (หั่นเป็นชิ้น)
ผักกาดดอง 300 กรัม (ล้างแล้วหั่นเป็นชิ้น)
น้ำ 1 ลิตร
กระเทียม 4-5 กลีบ (บด)
พริกไทยขาว 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)
น้ำตาล 1 ช้อนชา (ไม่จำเป็น เพื่อความสมดุลของรสชาติ)
ผักชีสดสำหรับตกแต่ง

คำแนะนำ
เตรียมซี่โครงหมู
ต้มน้ำให้เดือด ลวกซี่โครงหมูประมาณ 2 นาที เพื่อเอาสิ่งสกปรกออก สะเด็ดน้ำแล้วล้างด้วยน้ำสะอาด
ทำน้ำซุป

ใส่ซี่โครงหมูลวก กระเทียม และพริกไทยขาวลงในหม้อที่สะอาด 1 ลิตร เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 30–40 นาที จนซี่โครงนุ่ม
ใส่ผักกาดดองลงไป

ใส่ผักกาดดองหั่นสับลงในหม้อ เคี่ยวต่ออีก 15 นาทีเพื่อให้รสชาติเข้ากัน
ปรุงรสซุป

ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำปลาตามชอบ หากน้ำซุปเปรี้ยวเกินไป สามารถเติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อปรับรสชาติให้สมดุล
เสิร์ฟและเพลิดเพลิน

เมื่อทุกอย่างสุกดีและมีรสชาติดีแล้ว ตกแต่งด้วยผักชีสด และเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ
เคล็ดลับ
หากชอบรสเปรี้ยว สามารถเพิ่มน้ำมะขามเปียก หรือน้ำส้มสายชูได้เล็กน้อย
หากชอบรสหวาน สามารถเพิ่มน้ำตาลปี๊บได้ตามชอบ
สามารถใส่เครื่องปรุงอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ เช่น ซีอิ๊วขาว หรือผงปรุงรส
หากไม่มีกระดูกหมู สามารถใช้ซี่โครงหมู หรือหมูสามชั้นแทนได้
ควรเลือกผักกาดดองที่ไม่เค็มมากนัก

ทำไมคุณถึงควรลองเมนูนี้
สบายใจและบำรุงร่างกาย : ซุปนี้เหมาะสำหรับมื้ออาหารเบาๆ แต่อิ่มท้อง
ย่อยง่าย : ผักกาดดองช่วยในการย่อยอาหาร ในขณะที่น้ำซุปช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
เต็มไปด้วยรสชาติอูมามิ : การผสมผสานระหว่างซี่โครงหมูและผักกาดดองสร้างรสชาติที่เข้มข้นและอร่อย

ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาซุปอุ่นๆ สำหรับวันอากาศหนาว หรืออาหารเบาๆ เพื่อสุขภาพซุปผักกาดดองกับซี่โครงหมูก็เป็นตัวเลือกที่ดี ลองทำที่บ้านและเพลิดเพลินกับรสชาติอาหารไทยแบบดั้งเดิม


6
บริการทำความสะอาด: เคล็ดลับทำความสะอาดบ้านขั้นเทพ สะอาดปิ๊ง วิ๊งทุกมุม!

บ้านของเรามีหลายๆ มุมที่เข้าถึงได้ยาก เช่น หลังตู้ ใต้เตียง ชั้นวางของที่สูงๆ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่างๆ ที่หากทิ้งเอาไว้ ไม่ยอมทำความสะอาด (เพราะว่าทำยาก) พื้นที่เหล่านั้นก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมฝุ่นและเชื้อโรค นานวันเข้ายิ่งหมักหมม พาลให้ชาวภูมิแพ้ที่ไวต่อสิ่งแปลกปลอมเป็นพิเศษ เริ่มมีอาการ

อย่ารอจนมีอาการภูมิแพ้ หรือต้องนั่งดมฝุ่น ดมเชื้อโรคทั้งวันนี้มีเคล็ดลับการทำความสะอาดบ้าน แบบซอกแซกเข้าถึงทุกซอกทุกมุม เพื่อบ้านสะอาดวิ๊ง อยู่ได้แบบสบายใจ!

เคล็ดลับทำความสะอาดบ้านให้สะอาดทุกซอกทุกมุม?

เคล็ดลับทำความสะอาด

การทำความสะอาดบ้านทุกซอกทุกมุมให้สะอาด ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เร็วและง่ายดายมากนัก จะดีหรือไม่ ถ้าหากคุณมีเคล็ดลับสำหรับการจัดการเฉพาะ เคลียร์ได้ทุกซอกทุกมุม วิธีทำความสะอาดตามห้องและโซนต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ว่าแล้วเราไปดูเคล็ดลับการทำความสะอาดแบบจัดเต็มที่จะแบ่งออกมาให้คุณได้อ่านรายละเอียด เทคนิคการทำแบบมืออาชีพผ่านเคล็ดลับที่สามารถทำได้ง่ายๆ ในโซนและห้องต่างๆ กัน

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องนั่งเล่น

เริ่มต้นกันที่ห้องนั่งเล่น ที่เรียกได้ว่าเป็นโซนสำคัญของบ้าน พื้นที่ที่ศูนย์กลางสำหรับการรับแขก การใช้เวลาร่วมกันสำหรับครอบครัว การทำกิจกรรมต่างๆ ที่แน่นอนว่าจะต้องมีการใส่ใจในการทำความสะอาดเพื่อไม่ให้เจอสิ่งสกปรก เศษฝุ่นต่างๆ ที่มาอยู่บริเวณห้องนั่งเล่น โดยเรามีเคล็ดลับจุดต่างๆ แนะนำ ดังต่อไปนี้

1.    ผ้าม่าน เคล็ดลับการทำความสะอาด แนะนำให้หมั่นดูดฝุ่นผ้าม่านอย่างสม่ำเสมอ และควรทำความสะอาดด้วยการซักทุกๆ 1 – 3 เดือน อย่าลืมตากแดดจัดสักหน่อย เพื่อให้แสงแดดช่วยจัดการพวกไรฝุ่น เชื้อโรคต่างๆ ที่เกาะติดอยู่

2.    พรมปูพื้น พรมเป็นของแต่งบ้านที่ทำความสะอาดค่อนข้างยาก ยิ่งกับพรมปูพื้น ผืนใหญ่ๆ ซึ่งอาจมีทั้งเศษอาหาร เศษขนม ขนสัตว์เลี้ยง และฝุ่น การทำความสะอาดพรมนั้น อันที่จริงก็ไม่ยากอย่างที่คิด อุปกรณ์ที่ต้องมี คือ เครื่องดูดฝุ่นที่หัวแปรงนุ่มๆ ซักเครื่อง หมั่นดูดฝุ่นเป็นประจำทุกสัปดาห์ เท่านี้ก็ช่วยให้พรมในบ้านสะอาดขึ้นได้ หากวันไหนเผลอทำน้ำหกใส่ ให้รีบซับด้วยผ้าแห้ง หรือกระดาษชำระ ไม่ถู และไม่ขัดพรมเด็ดขาด เพราะจะทำให้พรมเสียหาย หากไม่แน่ใจเรื่องการทำความสะอาด ก็สามารถเรียกใช้บริการแม่บ้าน หรือผู้เชี่ยวชาญได้เลย

3.    ทีวี เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มักจะพบได้บ่อยที่ในห้องนั่งเล่น ที่แน่นอนว่านอกจากจะรวมความบันเทิงแล้ว หลังทีวียังมีฝุ่นต่างๆ เกาะอยู่อีกด้วย ดังนั้น แนะนำให้คุณทำความสะอาดเป็นประจำด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดทุกส่วน ยกเว้นส่วนของหน้าจอทีวีที่ควรใช้น้ำยาสำหรับการเช็ดหน้าจอทีวีโดยเฉพาะ

4.    คอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ค ห้องนั่งเล่นเป็นจุดที่วางอุปกรณ์สำหรับการทำงานไว้ไม่น้อย ดังนั้น ควรหมั่นทำความสะอาดคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คอยู่เสมอ ด้วยน้ำยาทำความสะอาดจอโดยเฉพาะ นอกจากนี้ควรที่จะหาอุปกรณ์สำหรับการปัดฝุ่นหรือพู่กันปัดฝุ่นที่เม้าส์ หน้าจอ หรือคีย์บอร์ด เป็นต้น

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องนอน

ห้องนอนที่สะอาดสะอ้านและจัดระเบียบสภาพแวดล้อมอย่างดี จะดีต่อสุขภาพการนอนและการพักผ่อนที่เต็มที่ของคุณ อีกทั้งห้องนอนยังเป็นห้องที่ผู้คนใช้เวลาอยู่มากกว่าห้องและโซนอื่นๆ ของบ้าน ซึ่งเรามีทริคการทำความสะอาดมาแนะนำ ดังต่อไปนี้

-    หมอน สำหรับการนอนหนุนในแต่ละคืน ที่คุณจะต้องตรวจสอบดูว่าวัสดุของหมอนที่คุณใช้งานสามารถทำความสะอาดได้หรือไม่ ซักได้หรือเปล่า ถ้าหากไม่สามารถซักได้ แนะนำให้ตบๆ ฝุ่นออก และตากแดดจัดเป็นประจำทุกสัปดาห์ ในกรณีที่สามารถทำความสะอาดด้วยการซักได้ แนะนำให้คุณซักมือ ด้วยน้ำสบู่และน้ำอุ่นผสมกัน จะทำให้คราบและสิ่งสกปรกเกาะค้างต่างๆ หลุดออกได้ง่าย

-    ที่นอน ที่นอนของคุณไม่ว่าเป็นรูปแบบเตียงนอน เบาะนอนหรือชุดเครื่องนอนที่ครบถ้วน แนะนำให้ทำการดูดฝุ่นที่นอนทุกสัปดาห์ ในกรณีที่มีคราบต่างๆ แนะนำให้นำน้ำสบู่ผสมกับน้ำอุ่นมาขัดเบาๆ จะช่วยจัดการออกและทำความสะอาดได้ง่าย

-    ผ้าห่ม สำหรับผ้าห่มหรือผ้านวมในห้องนอน คุณสามารถที่จะนำมาทำความสะอาดได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามอย่าลืมเช็คคำเตือนหรือวิธีการซักที่ระบุมาพร้อมกับชนิดผ้าห่มของคุณ นอกจากนี้แนะนำให้นำผ้าห่มหรือผ้านวมออกมาตากแดดจัดเป็นประจำเพื่อจัดการเชื้อโรคต่างๆ

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องครัว

การทำความสะอาดห้องครัว ดูเหมือนจะเป็นงานที่ยากไม่ใช่น้อย เนื่องจากห้องครัวเป็นจุดสำหรับทำกับข้าว จุดสำหรับการจัดเตรียมวัตถุดิบอาหาร จุดล้างจานและอื่นๆ ที่มักจะมาทำที่บริเวณห้องครัว ทำให้ห้องครัวเป็นโซนที่มีคราบสิ่งสกปรกมากที่สุดของบ้านเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม การปล่อยปละละเลยก็ไม่ได้ เพราะห้องครัวยังเป็นพื้นที่สำหรับการทำอาหารที่จะต้องสะอาด ปราศจากเชื้อโรคอยู่เสมอ ซึ่งเรามีทริคดีๆ มาแนะนำ

1.    ชุดเครื่องเงิน อุปกรณ์ภายในครัวที่เป็นเครื่องเงิน เช่น หม้อ กระทะ ช้อนหรือส้อม เป็นต้น คุณสามารถเพิ่มความสวยเงางามและสะอาดเรียบร้อยได้ด้วยการผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำอุ่น จากนั้นให้นำเครื่องเงินต่างๆ ภายในครัวไปแช่ไว้ราวๆ 10 – 15 นาที ก่อนที่จะเอาออกมาล้างและเช็ดให้เรียบร้อย

2.    เครื่องครัวสแตนเลส เป็นอุปกรณ์ที่สามารถพบได้บ่อยในห้องครัว ซึ่งถ้าหากคุณพบเห็นเครื่องครัวสแตนเลสในครัวของคุณเก่า ดูโทรม ดำคล้ำ มีคราบเกาะแน่น สามารถที่จะทำความสะอาดได้ง่ายๆ ด้วยการนำน้ำส้มสายชู, น้ำยาล้างจ้าน หรือ แอลกอฮอล์ มาทาให้ทั่วบริเวณเครื่องครัว หลังจากนั้นให้ขัดและเช็ดออกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์

3.    อ่างล้างจาน แนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชูเทที่บริเวณท่อน้ำทิ้ง หลังจากนั้นให้คุณนำน้ำยาสำหรับการฟากขาวและผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดโดยเฉพาะมาเช็ดล้างที่บริเวณอ่างล้างจานเป็นประจำ

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ

การทำความสะอาดบ้านที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ การทำความสะอาดห้องน้ำที่แนะนำว่าควรทำเป็นประจำ เนื่องจากห้องน้ำเป็นพื้นที่สำหรับการทำความสะอาดร่างกาย การทำธุระส่วนตัวต่างๆ ที่จะต้องมีความสะอาด ปราศจากแบคทีเรีย เชื้อโรคที่มาเกาะติด โดยเรามีทริคดีๆ มาแนะนำ

1.    เพดานห้องน้ำ ผนังห้องน้ำ เป็นจุดที่พบคราบสกปรกได้บ่อย แนะนำให้ทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่น นำมาราดให้ทั่วบริเวณของผนัง หลังจากนั้นนำผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าสะอาด ชุบเข้ากับน้ำสบู่หรือผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดโดยเฉพาะ เช็ดล้างให้เรียบร้อยพร้อมกับล้างอีกรอบด้วยน้ำสะอาดเย็นๆ

2.    ชักโครก เป็นจุดที่สำคัญอย่างมากสำหรับการทำความสะอาด โดยแนะนำให้คุณเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโดยเฉพาะ ราดเทไว้ที่บริเวณโถสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นให้ใช้แปรงขัดห้องน้ำเช็ดให้เรียบร้อย เมื่อเสร็จสิ้นแล้วให้ปิดฝาโถแล้วกดชักโครกล้างซ้ำ  นอกจากนี้เคล็ดลับที่จะช่วยได้เช่นกันก็คือ การนำน้ำส้มสายชู มาเททิ้งไว้ 5 – 10 นาที จะช่วยจัดการคราบสกปรกต่างๆ ได้ดีเลยทีเดียว

3.    อ่างล้างหน้า เป็นจุดที่สามารถพบเชื้อโรค สิ่งสกปรกเกาะติดได้ง่าย แนะนำให้คุณใช้แปรงขัดหรือแปรงสีฟันมาขัดรอบๆ บริเวณที่เป็นซอกและก๊อกน้ำ เพื่อเคลียร์คราบหินปูนเกาะติด คราบสกปรกฝังแน่น

อุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องมี

เพื่อให้คุณสามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างสะดวก ง่ายดาย ประหยัดแรง และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม สิ่งที่จะช่วยได้เป็นอย่างดี คือ อุปกรณ์ทำความสะอาด ที่จะต้องจัดเตรียมให้พร้อมเพื่อให้คุณสามารถลงมือเช็ดล้างและทำความสะอาดได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม แล้วควรเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้างที่สำคัญ ไปดูกัน

1.    ไม้กวาด เป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องมีประจำบ้านอย่างแท้จริง สามารถใช้กวาดสิ่งสกปรก เศษขยะต่างๆ ฝุ่นละออง ได้อย่างดีเยี่ยม ใช้งานได้ดีทั้งในพื้นกระเบื้อง, พื้นซีเมนต์ และ พื้นหินขัด เป็นต้น ซึ่งแนะนำให้คุณเตรียมไม้กวาดให้เหมาะสำหรับการใช้งาน เช่น ไม้กวาดดอกหญ้า, ไม้กวาดทางมะพร้าว หรือ ไม้กวาดยางพารา เป็นต้น

2.    ไม้ม็อบ หรือไม้ถูพื้นตัวช่วยสำหรับการทำความสะอาดบ้านให้หมดจด สามารถถูกได้ทุกซอกทุกมุม ทำความสะอาดได้เร็ว

3.    แปรงขัด สำหรับการทำความสะอาดพื้นที่ที่มีคราบเกาะติด คราบฝังแน่น สิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ห้องน้ำ, ชักโครก และ อ่างล้างหน้า เป็นต้น

4.    ฟองน้ำ ไม่ใช่แค่เพียงเป็นตัวช่วยล้างจานในห้องครัวเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้กับการทำความสะอาดได้หลายแบบ

5.    ผ้าไมโครไฟเบอร์ เป็นผ้าที่สามารถช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพ ใช้งานได้ง่าย กักเก็บฝุ่นได้ดี ไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนเฟอร์นิเจอร์อีกด้วย

6.    ผ้าทำความสะอาด ควรมีติดบ้านไว้นอกเหนือจากผ้าไมโครไฟเบอร์ ผ้าขี้ริ้วหรือผ้าทำความสะอาดจะมีเนื้อที่นุ่ม สามารถเช็ดบนพื้นผิวต่างๆ ได้ดี ใช้งานได้สารพัดประโยชน์เช่นกัน

7.    ถุงมือยาง เนื่องจากการทำความสะอาดมักจะต้องมีการใช้น้ำยา ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดที่มีสารเคมี การที่มีถุงมือยางจะช่วยป้องกันอันตรายจากสารเคมีต่างๆ ในระหว่างการทำความสะอาดบ้านได้เป็นอย่างดี

8.    หน้ากากอนามัย หรือผ้าปิดจมูก สำหรับการป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นสารเคมี ละอองฝุ่นต่างๆ ที่มาพร้อมกับการทำความสะอาด ที่จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ตนเองได้

เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับคู่มือการทำความสะอาด เคล็ดลับที่ช่วยให้คุณจัดการทำความสะอาดบ้านได้แบบขั้นเทพ สามารถทำตามได้ไม่ยาก เพื่อบ้านที่สะอาด มีความสดชื่น ไร้สิ่งสกปรกเกาะติด อีกทั้งยังช่วยประหยัดแรงในการทำความสะอาด เพิ่มความสะดวกให้แก่ตนเองได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการทำความสะอาดได้เช่นกัน ด้วย เครื่องดูดฝุ่น, หุ่นยนต์ดูดฝุ่น หรือหุ่นยนต์ถูพื้น ที่จะช่วยประหยัดเวลาการทำความสะอาดของคุณลงได้

7
ตรวจอาการด้วยตนเอง: ผมร่วงจากซิฟิลิส (ระยะที่ 2)

ผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิส ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งอาจมีอาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ อาการผมร่วงพบในระยะที่ 2 ของโรค (ดู "โรคซิฟิลิส" เพิ่มเติม)


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อซิฟิลิสซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่


อาการ

อาการผมร่วง อาจเป็นอาการแสดงออกของผู้ป่วยซิฟิลิสในระยะที่ 2 ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามตัว หรือมีผื่นขึ้นทั่วตัวร่วมด้วย ส่วนอาการผมร่วง อาจร่วงเป็นกระจุก ๆ เวลาหวีผม และจำนวนที่ร่วงในแต่ละวันมากกว่าปกติ (ปกติไม่ควรร่วงเกินวันละ 100 เส้น) ลักษณะของหนังศีรษะบริเวณที่มีผมร่วง อาจดูคล้ายถูกแมลงแทะเป็นหย่อม ๆ แต่บางรายอาจมีผมร่วงทั่วศีรษะก็ได้ มักจะพบมีเส้นผมตกตามหมอนและที่นอน และถ้าใช้มือดึงเส้นผมเบา ๆ ก็จะมีเส้นผมหลุดติดมือมาง่ายกว่าปกติ

ผู้ป่วยมักมีประวัติเที่ยวผู้หญิง หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้มาก่อน และก่อนหน้าที่จะมีอาการผมร่วงเพียงไม่กี่เดือนหรือไม่กี่สัปดาห์ อาจมีแผลขึ้นที่อวัยวะเพศ (ซิฟิลิสระยะแรก) แต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่รักษาก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสตามมา


การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอล (VDRL)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาแบบซิฟิลิสระยะที่ 2 โดยให้ยาปฏิชีวนะ (ดู "โรคซิฟิลิส" เพิ่มเติม)

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมักทำให้กลายเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3 ซึ่งเป็นอันตรายได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิส ควรรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

8
จัดฟันบางนา: ผู้ที่อยากเข้ารับการจัดฟัน ต้องถอนฟันก่อนหรือไม่

การเข้ารับการจัดฟันถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ด้วยนวัตกรรมที่มีความทันสมัยและก้าวหน้าไปมากกว่าแต่ก่อนและผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้หลายหลายคนเลือกใช้วิธีการจัดฟันสำหรับการแก้ไขปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน โดยการจัดฟันนั้นเป็นอีกหนึ่งเทคนิคทางทันตกรรมซึ่งช่วยรักษาความผิดปกติของการขึ้นของฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมและส่งผลให้มีการรับประทานอาหารหรือการบดเคี้ยวอาหารที่ดีขึ้น


นอกจากนี้ การรักษาก็จะเป็นการใช้เครื่องมือการจัดฟันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและสบฟันผิดปกติ ดูไม่สวยงาม ดูไม่เป็นระเบียบ ซึ่งการจัดฟัน ก็ถือว่าช่วยได้มากเลยทีเดียว นอกจาก ปัญหาฟันแล้ว การจัดฟันยังช่วยแก้ไขปัญหาโครงสร้าง รูปร่างของใบหน้าที่มีความผิดปกติ เช่น คางยื่น ทำให้มีโครงสร้างและรูปร่างใบหน้าที่ดีขึ้นได้ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น สำหรับ เครื่องมือการจัดฟันนั้นก็จะช่วยเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ในด้านของสุขภาพช่องปากและฟันและเพื่อบุคลิกภาพที่ดีขึ้นของผู้เข้ารับการรักษา

หลายคนที่กำลังตัดสินใจเข้ารับการจัดฟันคงจะมีความกังวลในเรื่องของขั้นตอนว่า ขั้นตอนการจัดฟันนั้นจะต้องเข้ารับการถอนฟันหรือไม่ซึ่งเป็นคำถามที่หลายคนเกิดความกังวลและวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงคำถามที่หลายคนสงสัยว่าถ้าหากเราจะเข้ารับการจัดฟันนั้นเราจะต้องทำการถอนฟันด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ก่อนการเข้ารับการจัดฟันนั้น ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องปรึกษาทันตแพทย์ก่อนว่า ผู้เข้ารับการรักษาเหมาะสมกับการจัดฟันในรูปแบบใดซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะของฟันและปัญหาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับฟันแบบไหนและเหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบใด


ซึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้นจะต้องถอนฟันหรือไม่ การที่ทันตแพทย์จะพิจารณาว่าควรถอนฟันหรือไม่นั้นก็จะขึ้นอยู่กับความผิดปกติของผู้เข้ารับการรักษา แต่ถ้าหากต้องเข้ารับการถอนฟันก็ต้องดูว่า จะต้องถอนกี่ซี่และจะต้องถอนซี่ไหนบ้าง ดังนั้น จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องเข้ารับการถอนฟันก่อนเข้ารับการจัดฟันเสมอไป โดยจะมีกรณีไหนบ้างที่จะต้องเข้ารับการตรวจประเมินสภาพช่องปาก รูปร่างใบหน้า โครงสร้างกระดูก ก่อนการตัดสินใจ และลักษณะของผู้ที่เหมาะที่จะเข้ารับการจัดฟัน ทันตแพทย์ก็จะทำการวิเคราะห์วินิจฉัยด้วยลักษณะของฟัน ซึ่งผู้ที่มีฟันบนยื่นออกมาข้างหน้ามาก ผู้ที่มีฟันล่างยื่นออกมามาก ก็สมควรที่จะเข้ารับการจัดฟัน


นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาฟันห่าง ก็คือมีช่องว่างระหว่างฟันที่เกิดมาจากการหลุดหรือการสูญเสียฟันก็เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันเช่นเดียวกัน และต่อมาคือผู้ที่มีฟันซ้อนเก ซึ่งฟันซ้อนเกก็จะมีลักษณะของการขึ้นของฟันที่มากจนเกินไปจนเกิดการเกทับกันนั่นเอง ผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้ก็สมควรที่จะเข้ารับการจัดฟัน เพื่อทำให้ฟันมีความสวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใส มั่นใจ และยังช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของการรับประทานอาหารทำให้บดเคี้ยวอาหารดีขึ้น และส่งผลไปถึงการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ทำให้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันนั้นสามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ระยะเวลาในการจัดฟันก็ต้องขึ้นอยู่กับความผิดปกติฟันด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วการจัดฟันจะใช้ ระยะเวลาประมาณ1 ปีครึ่ง-3 ปี ซึ่งในบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของฟันและความร่วมมือของผู้เข้ารับการจัดฟันด้วยว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ได้อย่างเคร่งครัดหรือไม่ และมาเข้าพบทันตแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอหรือไม่ จึงต้องบอกว่าในช่วงของการรักษานั้นทันตแพทย์จะทำการนัดตรวจทุกๆ 1 เดือน เพื่อปรับเครื่องมือและตรวจผลการรักษา


อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ ดังนั้น หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก  เรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทางด้านทันตกรรมและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี รวมไปถึงมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติได้อย่างแน่นอน

9
bigbike ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Pan America 1250 ST ปี 2025
874,000 บาท

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Pan America 1250 ST ปี 2025
Harley-Davidson Pan America 1250 ST ออกแบบเบาะที่นั่งให้ผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งที่พร้อม ควบคุมตัวรถได้อย่างมั่นใจและสะดวกสบาย มาพร้อมกับสมรรถนะรอบด้านจากเครื่องยนต์ Revolution? Max 1250 แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ล้อหน้า 17 นิ้วพร้อมยางสตรีทแบรนด์ชั้นนำ ช่วงล่างและระบบเบรกระดับพรีเมียม ปรับช่วงล่างและตำแหน่งเบาะนั่งใหม่ต่ำลง พร้อมด้วยระบบ ท่อไอเสียน้ำหนักเบาและควิกชิฟเตอร์

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                   Harley-Davidson
   รุ่น                         ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Pan America 1250 ST ปี 2025
   ประเภทรถ               Adventure Bigbike
   ปีที่เปิดตัว                2025
   ราคา                     874,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์                 เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์                   6 ระดับ และควิกชิฟเตอร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์     Revolution Max 1250 149 hp (111 kW) @ 8,750 rpm
   ระบบระบายความร้อน       น้ำ
   ระบบสตาร์ท                 สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)     1252 CC
   แบบเครื่องยนต์                4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง       เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีด (Electronic Sequential Port Fuel Injection)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        21.2 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน               ล้อหน้า โช้คแบบหัวกลับ 47 มม. พร้อมระบบควบคุมการหน่วงกึ่งแอคทีฟปรับได้แบบอิเล็กทรอนิกส์ ทริปเปิลแคลมป์ชุดตะเกียบอะลูมิเนียม, ล้อหลัง โช้คเดี่ยวแบบติดตั้งบนชุดโยงพร้อมระบบควบคุมพรีโหลดอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ และระบบหน่วงการบีบอัดแบบและการยุบตัวแบบกึ่งแอคทีฟ
   ระบบเบรค                       ล้อหน้า ดิสก์เบรก (จานเบรกคู่แบบลอย ติดตั้งบนถัง), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (จานเบรกดันแบบขยายตัวสม่ำเสมอ)
   แบบวงล้อ                          แมกซ์
   ขนาดยาง                         ล้อหน้า 120 / 70ZR17 58W, ล้อหลัง 180 / 55ZR17 73W
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)     2,240 x 895 X 1,330
   น้ำหนักตัวรถ                         246.00 กก.

10
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis) เยื่อบุมดลูกอักเสบ (Endometritis)

ปีกมดลูกอักเสบ (salpingitis) หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่

เยื่อบุมดลูกอักเสบ (endometritis) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูก (โพรงมดลูกอักเสบ มดลูกอักเสบ ก็เรียก)

ทั้ง 2 โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก (ทำให้เยื่อบุมดลูกอักเสบ) และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่และรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ (ซึ่งอาจเกิดกับปีกมดลูกทั้ง 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง) หากไม่รักษาเชื้ออาจแพร่กระจายไปบริเวณข้างเคียงในระบบสืบพันธุ์ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

ทั้ง 2 โรคนี้บางครั้งจึงอาจพบร่วมกันจนแยกจากกันไม่ออก และมักจะเรียกรวม ๆ กันว่า อุ้งเชิงกรานอักเสบ (pelvic inflammatory disease/PID) ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน โรคนี้บางคนอาจเป็นโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการ ส่วนผู้ที่มีอาการอาจมีอาการแบบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องรุนแรง) หรือแบบเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ได้ครบถ้วนตามที่แพทย์แนะนำ และอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และอาจพบในผู้หญิงที่คลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือชอบสวนล้างช่องคลอดเอง

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นเชื้อหนองใน และคลามีเดีย (หนองในเทียม) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ประจำถิ่น) ในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส) ซึ่งจะเข้าไปในโพรงมดลูกจากการคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการสวนล้างช่องคลอด

การติดเชื้ออาจเกิดสาเหตุสำคัญ ดังนี้

1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปีกมดลูกอักเสบหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ เชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ เชื้อหนองใน (โกโนค็อกคัส) และเชื้อหนองในเทียม (คลามีเดียทราโคมาติส)

2. การติดเชื้อหลังคลอด (puerperal infection) อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย (ประจำถิ่น) ในช่องคลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส) ระหว่างคลอดมีปัจจัย (เช่น ภาวะโลหิตจาง ภาวะถุงน้ำแตกรั่วอยู่นาน การคลอดยาก การบาดเจ็บ ภาวะตกเลือดหลังคลอด เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น) กระตุ้นให้เชื้อเหล่านี้เจริญขึ้นจนเป็นโรค หรือไม่ก็อาจแปดเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอดเข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้เกิดเยื่อบุมดลูกอักเสบได้ มักมีอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง

3. การทำแท้ง หากไม่สะอาดมักทำให้มีเชื้อโรคเข้าในมดลูก เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่า การแท้งติดเชื้อ (septic abortion)


อาการ

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย

ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อยหรือมาก และมีกลิ่นเหม็น

ถ้าเกิดจากการทำแท้งจะมีอาการแบบแท้งบุตร (ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอด) ร่วมด้วย

ในรายที่เป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง อาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ อาการปวดท้องน้อย 1-2 ข้าง ปวดเสียดหลังส่วนล่าง ปวดประจำเดือน ประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย มีตกขาวเป็นสีเหลืองหรือเขียวและมีกลิ่นเหม็น ปวดขัดหรือปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย มีอาการปวดท้องน้อย หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์

มักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงหลังมีประจำเดือน อาจมีอาการในช่วงสั้น ๆ แล้วหายไปเองโดยไม่ได้รักษา บางรายอาจมีอาการแบบเฉียบพลัน (มีไข้ ปวดท้องน้อย) กำเริบเป็นครั้งคราว


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่หรือท่อรังไข่ ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้ และมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกมากกว่าปกติ

การเกิดแผลหรือพังผืดในท่อรังไข่ มักทำให้มีอาการปวดท้องน้อย (อุ้งเชิงกราน) เรื้อรังเป็นปี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ และช่วงที่มีไข่ตก

นอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษถึงเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากการทำแท้ง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย (รวมทั้งการตรวจภายใน)

ในรายที่มีอาการแบบเฉียบพลัน มักตรวจพบไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว ถ้าเป็นข้างขวาจำเป็นต้องตรวจแยกโรคให้ชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือปีกมดลูกอักเสบ)

อาจได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา

อาจพบอาการซีด หรือภาวะช็อกในรายที่เป็นรุนแรง

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ รวมทั้งอาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์ ใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscopy) เอกซเรย์โพรงมดลูกและท่อนำไข่ (โดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าสู่โพรงมดลูกและท่อนำไข่) ตรวจชิ้นเนื้อเยื่อบุมดลูก (endometrial biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

ในรายมีอาการรุนแรง กำลังตั้งครรภ์ สงสัยมีฝีในรังไข่หรือท่อรังไข่ หรือใช้ยาปฏิชีวนะชนิดกินไม่ได้ผล แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การรักษาตามอาการ (เช่น ให้ยาแก้ปวด ลดไข้ ให้น้ำเกลือ ให้เลือดถ้าซีด) และให้ยาฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค ซึ่งมักเป็นยาที่สามารถรักษาครอบคลุมเชื้อหนองในและหนองในเทียม (เชื้อคลามีเดีย) โดยใช้ยาชนิดฉีดในระยะแรก ๆ ก่อน

ถ้าอาการไม่รุนแรง ก็ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก (ไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล) โดยให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเช่นเดียวกัน

ยาปฏิชีวนะมีทั้งชนิดฉีดและชนิดกิน ซึ่งมีให้เลือกหลายขนาน โดยใช้ยา 2-3 ชนิดร่วมกัน และมักให้ยานาน 14 วัน

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญคือ การเกิดหนองหรือฝีในบริเวณปีกมดลูก จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แพทย์นิยมใชัวิธีผ่าตัดแบบส่องกล้องระบายหนองออก และรักษาท่อรังไข่ที่เกิดแผลหรือพังผืดสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตรในอนาคต

ผลการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม และได้ยาปฏิชีวนะอย่างครบถ้วน ก็จะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา หรือได้ยาไม่ครบถ้วน ก็อาจกลายเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น การติดเชื้อจากการทำแท้ง (การแท้งติดเชื้อ) หากรักษาล่าช้าไป อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็น หรือหลังคลอด 24 ชั่วโมงมีน้ำคาวปลาออกน้อยหรือมากและมีกลิ่นเหม็น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นปีกมดลูกอักเสบ หรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดท้องรุนแรง ตกขาวมากและมีกลิ่นเหม็น อาเจียนมาก กินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย ลุกนั่งหน้ามืดจะเป็นลม เป็นต้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดเอง 

2. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย

3. ปรึกษาแพทย์ในการใช้วิธีคุมกำเนิดที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลีกเลี่ยงการใส่ห่วงคุมกำเนิด

4. ควรงดการร่วมเพศ หรือสวนล้างช่องคลอด เป็นเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ภายหลังการคลอดบุตร แท้งบุตร หรือการขูดมดลูก เนื่องเพราะเป็นช่วงที่เยื่อบุมดลูกอ่อนแอ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

5. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ (ไม่อยากได้บุตรในครรภ์) ไม่ควรทำแท้งกันเอง หรือใช้เครื่องมือสกปรกในการทำแท้ง เพราะอาจติดเชื้อรุนแรงถึงตายได้ ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง

6. ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองในจากสามี (เช่น สามีมีอาการปัสสาวะขัด หรือมีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ) ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปีกมดลูกอักเสบ


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4 สัปดาห์ จนกว่ามดลูกจะฟื้นตัวแข็งแรงดี

2. ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรเอาห่วงออก และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน

3. ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย มิเช่นนั้นอาจติดเชื้อจากสามีซ้ำซาก และเกิดอาการกำเริบได้อีก

4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ควรรับการรักษาอย่างจริงจังและกินยาให้ครบตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ อย่าปล่อยให้เชื้อลุกลามเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย หรืออาจทำให้เป็นหมันได้

5. โรคนี้อาจแสดงอาการภายหลังการมีประจำเดือน ซึ่งอาการมีไข้หลังมีประจำเดือน ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ไข้ทับระดู (ถ้ามีประจำเดือนหลังไข้ เรียกว่า ระดูทับไข้) และมีความเชื่อว่า ห้ามฉีดยา มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้ ความจริงแล้วอาการไข้ทับระดู หรือระดูทับไข้ นั้นมีสาเหตุจากไข้อะไรก็ได้ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไทฟอยด์ เป็นต้น) แต่บังเอิญมาประจวบเหมาะกับการมีประจำเดือนเข้า โดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับประจำเดือนแต่อย่างใด

แต่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน ก็ได้แก่ ปีกมดลูกอักเสบหรือเยื่อบุมดลูกอักเสบ เข้าใจว่าคงเคยมีคนที่เป็นโรคนี้ไปฉีดยาประเภทเพนิซิลลิน (ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้กันในสมัยก่อน และเป็นยาที่ทำให้แพ้ได้ง่าย) แล้วบังเอิญเกิดการแพ้ยาถึงตายขึ้นมา จึงทำให้เกิดความเชื่อเรื่องห้ามฉีดยาขึ้นมาก็ได้

ความจริงก็คือ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องการแพ้ยา และถ้ามีความจำเป็นต้องฉีดยาในผู้ป่วยที่มีไข้ร่วมกับการมีประจำเดือน ก็สามารถกระทำได้แบบเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป

11
สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม ในการใช้ผ้ากันไฟ

การใช้ผ้ากันไฟในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพราะเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยที่อาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และชื่อเสียงขององค์กร สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญมีดังนี้:

1. การประเมินความเสี่ยงและเลือกประเภทผ้ากันไฟที่เหมาะสม (Risk Assessment & Right Selection):

เข้าใจแหล่งกำเนิดความร้อนและประกายไฟ: ประเมินว่าในโรงงานมีจุดใดบ้างที่เกิดความร้อนสูง ประกายไฟ หรือสะเก็ดโลหะจากการเชื่อม ตัด เจียร หรือกระบวนการผลิตอื่น ๆ
อุณหภูมิสูงสุดที่ต้องทน: พิจารณาอุณหภูมิสูงสุดที่ผ้าต้องเผชิญ เพื่อเลือกชนิดของผ้ากันไฟ (ใยแก้ว, ซิลิก้า, เซรามิกไฟเบอร์) ที่มีขีดจำกัดการทนอุณหภูมิที่เหมาะสมและเพียงพอ

ลักษณะงาน:
งาน Hot Work: เลือกผ้ากันไฟ (Welding Blanket) ที่ทนสะเก็ดไฟและการทะลุผ่านได้ดี
กั้นความร้อน: เลือกผ้าที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนด้วย
ดับเพลิงเบื้องต้น: เลือกผ้าห่มดับเพลิง (Fire Blanket) ที่ใช้งานง่ายและมีขนาดเหมาะสม
คุณสมบัติพิเศษ: พิจารณาเรื่องการเคลือบสารเพื่อลดการระคายเคือง (สำหรับใยแก้ว), กันน้ำ/น้ำมัน, หรือทนสารเคมี หากจำเป็น


2. การติดตั้งและใช้งานอย่างถูกต้อง (Proper Installation & Usage):

ตำแหน่งการติดตั้ง: ผ้ากันไฟต้องถูกติดตั้งหรือวางในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดในการสกัดกั้นประกายไฟหรือความร้อน โดยต้องครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงอย่างเพียงพอ
การยึดตรึง: หากใช้เป็นฉากกั้นหรือม่าน ต้องยึดตรึงให้แน่นหนา ไม่ปลิวหรือเลื่อนหลุดง่าย
ไม่ใช้ผิดประเภท: ผ้าห่มดับเพลิงสำหรับคลุมไฟไม่ควรนำมาใช้เป็นผ้ากันสะเก็ดไฟในงานเชื่อมที่อาจทำให้ผ้าเสียหายได้ง่าย
การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่น: อาจต้องใช้ร่วมกับถังดับเพลิง หรือผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire Watcher) ในงาน Hot Work


3. การฝึกอบรมพนักงาน (Employee Training):

ความรู้ความเข้าใจ: พนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่ก่อให้เกิดประกายไฟ หรือผู้ที่อาจต้องใช้ผ้ากันไฟ ควรได้รับการอบรมถึง:
ประเภทของผ้ากันไฟ: และคุณสมบัติของแต่ละชนิด
วิธีการใช้งานที่ถูกต้อง: ทั้งการใช้เป็นเกราะป้องกันและผ้าห่มดับไฟ
ตำแหน่งของผ้ากันไฟ: ในพื้นที่ทำงานและพื้นที่เสี่ยง
สัญญาณการชำรุด: และการรายงานเมื่อพบความผิดปกติ
การฝึกปฏิบัติ: ควรมีการฝึกซ้อมการใช้ผ้าห่มดับเพลิงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พนักงานมีความมั่นใจและสามารถปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์จริง


4. การบำรุงรักษาและตรวจสอบสภาพ (Maintenance & Inspection):

การตรวจสอบประจำ: กำหนดตารางการตรวจสอบสภาพผ้ากันไฟอย่างสม่ำเสมอ (เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือก่อนใช้งาน Hot Work ทุกครั้ง) โดยให้ผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัย หรือผู้เฝ้าระวังไฟเป็นผู้ดำเนินการ
สังเกตสัญญาณการเสื่อมสภาพ: ตรวจสอบรอยฉีกขาด รู รอยไหม้ การแข็งกระด้าง การซีดจาง การหลุดลอกของสารเคลือบ หรือการระคายเคืองที่เพิ่มขึ้น (ดังที่ได้กล่าวไปในคำตอบก่อนหน้า)
การเปลี่ยนเมื่อชำรุด: หากพบว่าผ้ากันไฟมีการชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรซ่อมแซมและนำกลับมาใช้
การจัดเก็บที่เหมาะสม: จัดเก็บผ้ากันไฟในที่แห้ง สะอาด ปลอดภัยจากความเสียหายทางกายภาพ แสงแดด และสารเคมี เพื่อยืดอายุการใช้งาน


5. การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน (Compliance with Regulations & Standards):

กฎหมายไทย: แม้จะไม่ได้ระบุชนิดและจำนวนตายตัว แต่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย โดยถือว่าผ้ากันไฟเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันที่จำเป็น

มาตรฐานสากล: พิจารณาปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น NFPA (National Fire Protection Association) โดยเฉพาะ NFPA 51B (Standard for Fire Prevention During Welding, Cutting, and Other Hot Work) ซึ่งให้แนวทางปฏิบัติที่ครอบคลุมเรื่อง Hot Work และการใช้ผ้ากันไฟ

การลงทุนในผ้ากันไฟที่เหมาะสม การฝึกอบรมพนักงาน และการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน การปกป้องทรัพย์สิน และการสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของโรงงานอุตสาหกรรม

12
จัดฟันบางนา: การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดฝังรากฟันเทียม

รากฟันเทียมคือการใส่ฟันทดแทนฟันเดิมที่สูญเสียไปแบบติดแน่น โดยการฝังรากฟันเทียม คือการผ่าตัดที่นำโลหะผสมหรือโครงฝังเข้าไปในกระดูกขากรรไกรภายใต้เหงือกเพื่อใช้แทนรากฟันธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีการใส่ฟันทดแทนที่ใช้งานได้มีประสิทธิภาพ มีอายุการใช้งานยาวนาน และให้ความรู้สึกใกล้เคียงฟันธรรมชาติที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ

โดยปกติแล้วรากเทียมจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนการสูญเสียฟันแท้ หรือทดแทนการใช้ฟันปลอม ซึ่งฟันปลอมจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบถอดได้และแบบติดแน่น ฟันปลอมแบบถอดได้คือฟันปลอมทั่วไปที่เราเห็นกันบ่อยๆที่ผู้สูงอายุใช้กัน ส่วนฟันปลอมแบบติดแน่นจะมีสะพานฟันกับรากเทียม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบรากเทียมกับฟันปลอมถอดได้แล้ว ฟันปลอมแบบถอดได้จะมีแรงบดเคี้ยวน้อยกว่าฟันธรรมชาติ 3-4 เท่า ในขณะที่การบดเคี้ยวของรากเทียมจะใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากกว่า รากเทียมจึงช่วยให้ผู้ป่วยเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้นหลังจากที่สูญเสียฟันธรรมชาติไปแล้ว


ข้อดีของทันตกรรมรากเทียม

– ยิ้มด้วยความมั่นใจ
– รับประทานอาหารได้ทุกชนิดที่คุณชื่นชอบ
– พูดจาชัดถ้อยชัคคำเป็นธรรมชาติ
– เพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยว ทำให้อาหารย่อยได้ดีขึ้น
– บูรณะโครงสร้างของใบหน้าให้เกิดความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
– สร้างเสริมคุณภาพชีวิตให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น
– เชื่อมั่นในตนเองและทำให้มีบุคลิกภาพที่ดี

หลังจากการผ่าตัดเพื่อฝังรากเทียมแพทย์จะให้ทานอาหารเหลวก่อนในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก เพื่อไม่ให้การเคี้ยวกระทบกระเทือนกับการฝังรากเทียม และหลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้นทันตแพทย์จะแนะนำให้ใช้ฟันอีกข้างที่ไม่ได้ทำการผ่าตัดเคี้ยวอาหารแทน จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารปกติได้ถ้าผู้ป่วยสามารถเคี้ยวได้ละเอียดแล้ว

13
คอนโดติดรถไฟฟ้า ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ (Quintara MHy'Zen Phromphong)
เริ่มต้น 2.29 ลบ.


ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ (Quintara MHy'Zen Phromphong)
คอนโดใจกลางเมืองในพื้นที่ที่มีมูลค่าสูงอันดับต้นๆ ของกรุงเทพ สามารถเชื่อมต่อสุขุมวิท, เพชรบุรี, อโศก และทองหล่อ ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบ เดินทางสะดวกใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                   ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ (Quintara MHy'Zen Phromphong)
 เจ้าของโครงการ             อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท
 ราคา                          เริ่มต้น 2.29 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                 คอนโดย่านธุรกิจกลางเมือง, คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด              Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี              สตูดิโอ, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                ตั้งแต่ 21.00 ถึง 65.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                   2 ไร่
 จำนวนตึก                       2 อาคาร
 จำนวนชั้น                     8 ชั้น
 จำนวนห้อง                    276 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค                สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (Engawa, Nakaniwa, Chashitsu, Tsukiyama, Steam Room, Hydrotherapy, Air Lounger, MHy?Omakase, Working Pod, Kitchen studio, Shuttle service)

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน               วัฒนา
 ที่ตั้ง                ซอยสุขุมวิท 39  ถนนสุขุมวิท วัฒนา กรุงเทพฯ

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

14
บริหารจัดการอาคาร: ตำแหน่งที่เหมาะแก่การติดกล้องวงจรปิด !

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายบ้านมีการใช้เทคโนโลยีในการสร้างความอุ่นใจให้กับบ้านของตัวเอง นั่นก็คือ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อที่จะได้ตรวจดูบ้านของตัวเองได้ เวลาที่เราไม่อยู่บ้าน ซึ่งในสมัยนี้ กล้องวงจรปิดเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมากในเรื่องความปลอดภัย ไม่เพียงแต่ติดตั้งในอาคารสถานที่ต่างๆ แต่คนนิยมติดตั้งภายในที่พักอาศัยด้วย โดยเฉพาะบ้านไหนที่มีเด็ก ก็มักจะติดตั้งไว้เพื่อความปลอดภัย โดยกล้องวงจรปิด เป็นเครื่องมือป้องกันการโจรกรรม การทำลายทรัพย์สินและเหตุร้ายอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี มันไม่เพียงแต่ช่วยในการป้องกันทรัพย์สินโดยบันทึกภาพฟุตเทจแต่ยังลดเหตุร้ายที่สามารถเกิดขึ้นได้


การที่สามารถเห็นภาพผ่านกล้องวงจรปิดช่วยในการจับภาพผู้ก่อเหตุร้ายและลดโอกาสในการก่อเหตุใดๆอีกด้วย บ้านที่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อจับตาดูเด็กและผู้สูงอายุ ด้วยระบบกล้องวงจรปิดภายในบ้านทำให้คุณสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของเด็กและคนสูงอายุได้ ในขณะที่อยู่นอกบ้าน นอกจากนี้ บ้านไหนที่มีแม่บ้าน ก็ยังสามารถดูแม่บ้านได้ให้แน่ใจไม่มีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น แต่ในตำแหน่งไหนละที่เหมาะสมที่จะติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อที่จะได้ตรวจดูบริเวณบ้านได้อย่างทั่วถึง วันนี้เราจะมาแนะนำการติดตั้งกล้องวงจรปิด ซึ่งเราก็มีบริการในการติดตั้งกล้องวงจรปิดด้วยเช่นกัน เพื่ออำนวยความสะอาดและสร้างความสบายใจให้กับคุณได้ โดยมีช่างผู้เชี่ยวชาญและมีความน่าเชื่อถือ คอยให้คำแนะนำ หากสนใจติดตั้งกล้องวงจรปิด


สำหรับตำแหน่งการติดตั้งกล้องที่เราจะมาพูดถึงกัน ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างในการติดตั้ง เช่น การติดตั้งในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างครอบคลุมพื้นที่ คือสามารถมองเห็นพื้นที่ในบริเวณที่ต้องการได้มากที่สุดนั่นเอง เช่น หากเราต้องการติดกล้องวงจรปิดในบริเวณบ้าน ควรเลือกจุดที่สามารถมองเห็นได้ครอบคลุมบริเวณมากที่สุด เพื่อที่จะสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวในมุมกว้าง และจับภาพได้ดีแม้จะมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ตาม หรือหากต้องการติดตั้งในบริเวณภายนอกอาคาร ก็ถือว่าเป็นอีกจุดที่ควรมีการติดตั้งเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการติดตั้งกล้องภายนอกอาคาร จะสามารถเตือนภัยได้ล่วงหน้าในกรณีที่เกิดการบุกรุก


ในปัจจุบันมีกล้องวรจรปิดหลายรุ่นที่สามาถส่งสัญญาณแจ้งเตือนมายังมือถือเมื่อตรวจจับพบการเคลื่อนไหว ทำให้เราสามารถป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถยับยั้งได้ทัน เราก็ยังมีโอกาสที่จะได้ภาพของคนร้ายเมื่อเดินทางออกจากที่เกิดเหตุ ซึ่งอาจถอดเครื่องปกปิดตัวเองออก เช่น หมวก หรือหน้ากาก ซึ่งสามารถทำให้ได้ใบหน้าของผู้ร้ายมา หรืออาจจะสามารถบันทึกภาพยานพาหนะที่ใช้ก่อเหตุซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการติดตามตัวผู้ร้ายต่อไป ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดไม่ควรติดตั้งอยู่ต่ำจนเกินไป เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกขโมย และการทุบทำลาย จึงควรติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูงพอสมควรเพื่อให้ได้ภาพในมุมที่กว้างขึ้น

 
นอกจากนี้ เราจะต้องคำนึงในเรื่องของแสงด้วย ในตำแหน่งที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดไม่ควรเป็นบริเวณที่มีแสงตกกระทบที่หน้ากล้องโดยตรง เพราะอาจส่งผลต่อการจับภาพของกล้องได้ และการติดตั้งกล้องภายนอกอาคารก็ไม่ควรให้กล้องจับภาพไปยังส่วนที่เป็นท้องฟ้ามากเกินไป เพราะระบบการปรับภาพอัตโนมัติของกล้อง ที่ต้องการปรับภาพให้สมดุลกันนั้นอาจทำให้ส่วนอื่นของภาพดูมืดกว่าเดิมได้ จึงควรเลือกปรับมุมกล้องให้เหมาะสมนั่นเอง และนี่เป็นตำแหน่งในการเลือกตำแหน่งเพื่อติดตั้งกล้องวงจรปิด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงมุมกล้องและสภาพบริเวณโดยรอบ เพื่อให้กล้องวงจรปิดสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น หากใครสนใจที่จะติดตั้งกล้องวงจรปิด อย่าลืมคำนึงถึงช่างที่จะเข้ามาทำการติดตั้งด้วยว่าจะต้องมีความน่าเชื่อถือ หรือใช้ช่างของบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพ สามารถตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง

 
หากสนใจจะติดตั้งกล้องวงจรปิด สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ เพราะเราเป็นผู้ให้บริการในเรื่องของความปลอดภัยของอาคารบ้านเรือน มีบริการติดตั้งระบบต่างๆภายในที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้าต้นกำลังและระบบจ่ายไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบสุขาภิบาล และระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ ระบบงานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง และระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด แถมยังสามารถวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกันที่เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ผลการบริหารจัดการของอาคารที่มีประสิทธิภาพ และอยู่ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล ภายใต้ความปลอดภัยของลูกค้ามากที่สุด

15
หมอออนไลน์: ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)

ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก และเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ จะติดเชื้อจากเพื่อนในห้องป่วยเป็นไข้หวัดได้บ่อยมาก

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ที่มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ และพบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง

ไข้หวัดจัดว่าเป็นโรคที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ เนื่องเพราะมักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ด้วยการปฏิบัติตัวและการรักษาตามอาการ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus) กลุ่มอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (parainfluenza virus) กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม (herpes simplex virus) เป็นต้น แต่ละกลุ่มจะมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสโคโรนา มีสายพันธุ์เก่า 4 สายพันธุ์ ถึงปี 2563 มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 สายพันธุ์ รวมทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19

การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และมีอาการรุนแรงน้อยลงไป

เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด เนื่องจากเป็นฝอยละอองที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ไมครอน) จึงกระจายออกไปได้ไม่ไกล คือภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร จัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะ (droplet transmission)

นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนถูกฝอยละอองของผู้ป่วย เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้

ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน


อาการ

มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย คอแห้งหรือเจ็บคอเล็กน้อย คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ซึ่งมักจะมีน้ำมูกมากใน 2-3 วันแรก

น้ำมูกมีลักษณะใส บางรายหลังมีน้ำมูกใสได้ 2-3 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะข้นขาว หรือเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งมักพบในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากเป็นน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกเป็นเวลานาน ตอนสาย ๆ ก็มักจะกลับกลายเป็นใส

ต่อมาอาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ

ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกไหล

ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้ติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน


ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้มีไข้ หรือเป็นหวัดเรื้อรังนานกว่าปกติ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ดังนี้

    หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน มักพบในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดหูมาก ในทารกจะมีอาการร้องงอแง เอามือดึงใบหูตัวเอง
    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไข้ ปวดหน่วง ๆ ที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม มักมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวมีกลิ่นเหม็น
    ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน มีอาการเจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจพบทอนซิลบวมแดง เป็นหนอง
    กล่องเสียงอักเสบ มีอาการเสียงแหบ
    หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไอบ่อย มีเสลดที่ขึ้นมาจากหลอดลม
    หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน
    โรคหืดกำเริบ มีอาการหายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    ปอดอักเสบ มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หายใจหอบ หรือหายใจเร็ว

โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อน ตรากตรำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ (เช่น ขาดอาหาร เป็นต้น) ในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

มักตรวจพบไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมากและไม่มีหนอง

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ไข้เลือดออก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด นำน้ำมูกหรือเสมหะไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้

(1.1) สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
    ถ้ามีอาการน้ำมูกไหล ใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ยกเว้นในรายที่มีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็น โดยให้กินครั้งละ ½-1 เม็ด ถ้าไม่ทุเลาซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ถ้าทุเลาแล้วให้หยุดยา*
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) บ่อย ๆ ถ้าไอมากลักษณะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ

(1.2) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
    ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน) แพทย์จะไม่ให้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก เนื่องเพราะมีผลเสีย (ผลข้างเคียงจากยา) มากกว่าประโยชน์ในการรักษาโรค
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน แนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน

2. ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะนอกจากไม่ได้มีผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาได้

แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) ในรายที่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น

3. ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ลดน้ำมูกและยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)

4. ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็ก อายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 4 วัน อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น แล้วทำการรักษาตามสาเหตุที่พบ

5. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในจมูกหรือคอหอย และให้การดูแลรักษาตามสาเหตุที่พบ

6. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักหายได้ภายใน 7-10 วัน ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ในการลดน้ำมูกในผู้ที่เป็นไข้หวัด ใช้เพียงเพื่อบรรเทาอาการให้สุขสบายเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น เนื่องจากยานี้อาจมีผลข้างเคียงได้หลายอย่าง จึงควรใช้บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี (นอกจากไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการแล้ว ยังอาจเกิดโทษได้อีกด้วย) ผู้ที่เป็นต้อหิน โรคลมชัก โรคหืด หรือต่อมลูกหมากโต (มีอาการปัสสาวะลำบาก) ก็ไม่ควรใช้ยานี้เพราะอาจมีผลข้างเคียงทำให้โรคเหล่านี้กำเริบได้

**ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อป้องกันการเกิดโรคโบทูลิซึม

การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่าเป็นไข้หวัดที่ไม่รุนแรง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
    สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
    ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่
    ถ้ามีไข้สูง กินยาลดไข้-พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)
    ถ้ามีน้ำมูกมาก สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ให้ใช้ลูกยางดูด หรือใช้กระดาษเช็ดออก

สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี ใช้กระดาษเช็ดออก ถ้ามีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงความจำเป็นและความปลอดภัยในการใช้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกบรรเทาอาการ

    ถ้าไอเล็กน้อย ให้จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ บ่อย ๆ ถ้าไอมาก ให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี) หรือยาแก้ไอมะขามป้อม หรืออมยาอมมะแว้ง (ยกเว้นเด็กเล็ก) ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ควรดื่มน้ำมาก ๆ
    ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    พบอาการไข้หรือไข้หวัดในทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน
    -    ทารกมีไข้ ร่วมกับร้องกวนงอแงมาก หรือเอามือดึงใบหูตัวเอง หรือมีไข้ขึ้นสูงกว่าวันแรก ๆ 
    -    มีไข้สูงตลอดเวลา หรือมีไข้เป็นพัก ๆ ทุกวันติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หรือหลังจากไข้หายแล้วไม่นานกลับมีไข้กำเริบใหม่
    -    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก นอนซม หรือซึมมาก
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) 
    -    มีอาการหอบหืดกำเริบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    -    มีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นเวลานานเกิน 10 วัน
    -    มีอาการไอนานเกิน 14 วัน หรือไอมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียว
    -    มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    -    สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคโควิด-19 ไข้เลือดออก หรือไข้จากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ
    -    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยามีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    -    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัด ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    หายใจหอบ/หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือเจ็บหน้าอกมาก
    -    ไอเป็นเลือด หรือน้ำหนักลด
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บตรงหน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    มีอาการไข้นานเกิน 4 วัน มีน้ำมูกนานเกิน 10 วัน ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอนานเกิน 14 วัน
    -    ในกรณีที่แพทย์ให้กินยาปฏิชีวนะ ถ้ากินไป 4 วันยังไม่ทุเลา หรือทำยาหาย
    -    มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น

การป้องกัน

1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

2. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัด ควรปฏิบัติดังนี้

    ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น

ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากไวรัสส่วนใหญ่มักจะหายได้เองด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย และหายตามระยะของโรค โดยทั่วไป อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน และอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหลมักเป็นอยู่นาน 7-10 วัน ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือเป็นหวัดน้ำมูกไหลเกิน 10 วัน มักแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ

ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกและไอต่อไปได้ บางรายอาจไอโครก ๆ อยู่เรื่อย อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) มักจะเป็นลักษณะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (ควรงดดื่มน้ำเย็น ถ้าดื่มแล้วทำให้ไอมากขึ้น)

2. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ) แก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกราย ยกเว้นในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่จำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้เท่านั้น

การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับไข้หวัดจากไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายไว หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ที่สำคัญ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง (เช่น ท้องเดิน จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย) แพ้ยา และอาจก่อโทษต่อร่างกาย เช่น ทำให้เชื้อโรคดื้อยา ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อน (เช่น ลิ้นเป็นโรคเชื้อรา ตกขาวจากเชื้อรา โรคท้องเดินชนิดรุนแรง เป็นต้น)

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัด (ซึ่งมีอาการตัวร้อนร่วมด้วย) เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย อาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางอะพลาสติก โรคขาดอาหาร เป็นต้น จึงควรตรวจดูว่ามีสาเหตุเหล่านี้ร่วมด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังเกิดจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งอาจเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่พอ มีจิตใจเครียด หรือขาดการออกกำลังกาย หากพบว่าเกิดจากสิ่งเหล่านี้ ก็ควรแก้ไขให้ร่างกายแข็งแรง

4. เด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเข้าโรงเรียนในช่วง 3-4 เดือนแรก อาจเป็นไข้หวัดได้บ่อย เพราะติดเชื้อหวัดหลากชนิดจากเด็กคนอื่น ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อย ๆ

เด็กที่เป็นไข้หวัดบ่อย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่พบมีความผิดปกติ และเด็กมีพัฒนาการดี ก็จะอธิบายให้พ่อแม่เด็กเข้าใจ และแนะนำให้มียาลดไข้พาราเซตามอลไว้ประจำบ้านให้เด็กกินเวลาตัวร้อน ส่วนยาอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน หมั่นชั่งน้ำหนักตัว พอพ้น 3-4 เดือน อาการก็จะเป็นห่างไปเอง เนื่องจากร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดมากชนิดแล้ว

5. ผู้ที่เป็นหวัดโดยไม่มีไข้ โดยมีน้ำมูกใสและจามบ่อย มักเกิดจากการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือละอองเกสร มากกว่าที่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ดู "หวัดภูมิแพ้")

6. ผู้ที่มีอาการไข้และมีน้ำมูก แต่ตัวร้อนจัดตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ค่อยทุเลา มักจะไม่ใช่เป็นไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น หัด ปอดอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ แพทย์จะตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่ในระยะแรกอาจแสดงอาการคล้ายไข้หวัดได้ เช่น ไข้เลือดออก ไอกรน คอตีบ โปลิโอ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น จึงควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าพบว่ามีไข้นานเกิน 4 วัน หรือมีอาการผิดไปจากไข้หวัดธรรมดา ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7. อย่าซื้อหรือใช้ยาชุดแก้หวัดที่มียาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังอาจมีอันตรายได้

8. เมื่อเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลามเข้าหูและโพรงไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบแทรกซ้อนได้

9. สำหรับเด็กเล็ก อย่าซื้อยาแก้หวัดแก้ไอสูตรผสมต่าง ๆ กินเอง เพราะอาจมีตัวยาเกินความจำเป็น จนอาจเกิดพิษได้ แม้แต่ยาแก้แพ้ แก้หวัด นอกจากจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงต่อเด็กเล็กได้ ในการรักษากันเองเบื้องต้น ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอลเพียงชนิดเดียวจะปลอดภัยกว่า

10. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

หน้า: [1] 2 3 ... 35