แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 39
1
ใช้งานได้ทุกโจทย์ของความต้องการผ้ากันไฟ

เพื่อให้ผมสามารถแนะนำ ผ้ากันไฟ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำที่สุด ผมต้องเข้าใจถึง ทุกมิติของความต้องการ ของคุณครับ เพราะ "ทุกโจทย์" นั้นกว้างมาก และผ้ากันไฟแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกันไป

กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นหลัก ๆ เหล่านี้ เพื่อให้ผมสามารถวิเคราะห์และแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ:


1. ประเภทของ "โจทย์" การใช้งานหลักๆ คืออะไร?

โปรดระบุลักษณะงานหรือปัญหาหลักที่คุณต้องการให้ผ้ากันไฟช่วยแก้ไข เช่น:

งานป้องกันประกายไฟ/สะเก็ดไฟ: เช่น งานเชื่อม, งานเจียร, งานตัดโลหะ ที่มีสะเก็ดไฟร้อนกระเด็น

งานกั้นแบ่งโซน/ม่านกันไฟ: ต้องการจำกัดการลุกลามของไฟและควันในพื้นที่ หรือเป็นม่านสำหรับช่องเปิด

งานหุ้มฉนวน/ป้องกันความร้อน: ต้องการลดความร้อนจากท่อ, เครื่องจักร, เตาอบ, หรืออุปกรณ์ที่มีอุณหภูมิสูง

งานป้องกันเฉพาะจุด: เช่น หุ้มสายไฟ, หุ้มส่วนที่เสี่ยงต่อการสัมผัสความร้อน

งานที่ต้องการความปลอดภัยส่วนบุคคล: เช่น ผ้าห่มดับเพลิง

งานอื่นๆ (โปรดระบุ): เช่น งานที่ต้องสัมผัสสารเคมี, งานกลางแจ้ง


2. สภาพแวดล้อมการใช้งานเป็นอย่างไร?

ข้อมูลนี้สำคัญต่อการเลือกสารเคลือบผิวผ้า:

อุณหภูมิสูงสุดที่ผ้าต้องทนได้: โดยประมาณ (เช่น ต่ำกว่า 500°C, 500-800°C, 800-1200°C, สูงกว่า 1200°C) ทั้งอุณหภูมิปกติและอุณหภูมิสูงสุดฉุกเฉิน

มีการสัมผัส/เสียดสีบ่อยแค่ไหน: ผ้าจะถูกขยับ, พับ, หรือโดนแรงเสียดสีบ่อยครั้งหรือไม่?

มีปัจจัยภายนอกอื่นๆ หรือไม่: เช่น

ความชื้น/น้ำ: มีโอกาสโดนน้ำหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงหรือไม่?

สารเคมี: มีการสัมผัสหรือไอระเหยของสารเคมีหรือไม่? (ถ้ามี โปรดระบุชนิด)

แสงแดด (UV): ต้องติดตั้งกลางแจ้งที่โดนแสงแดดโดยตรงหรือไม่?

ฝุ่น/สิ่งสกปรก: ต้องการผ้าที่ทำความสะอาดง่ายหรือไม่?

ความต้องการเรื่องความสะอาด/สุขอนามัย: ต้องการผ้าที่ไม่ฟุ้งกระจายเส้นใยหรือไม่?


3. ลักษณะการติดตั้งที่คาดหวัง?

ต้องการเป็นแบบม้วน/แผ่นขนาดใหญ่ เพื่อตัดเอง?

ต้องการเป็นแบบผืนสำเร็จรูปพร้อมห่วงตาไก่/ระบบราง?

ต้องการแบบตัดเย็บเข้ารูปสำหรับหุ้มอุปกรณ์เฉพาะ?

ต้องการแบบผ้าห่มสำหรับคลุม?


4. งบประมาณ และความคาดหวังด้านอายุการใช้งาน?

มีงบประมาณที่กำหนดไว้ต่อตารางเมตรหรือต่อผืนโดยประมาณหรือไม่?

ต้องการให้ผ้ามีอายุการใช้งานยาวนานแค่ไหน? (เช่น 1-3 ปี, 3-5 ปี, 5 ปีขึ้นไป)

เมื่อผมได้รับข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด ผมจะสามารถแนะนำประเภทของผ้ากันไฟ (เช่น ผ้าใยแก้ว แบบต่างๆ, ผ้าซิลิก้า, ผ้าใยเซรามิก) พร้อมสารเคลือบผิวที่เหมาะสม (เช่น เคลือบซิลิโคน, เคลือบเวอร์มิคูไลต์) รวมถึงคุณสมบัติที่ควรตรวจสอบและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณได้ผ้ากันไฟที่ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ

2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
บริการด้านอาหาร: อาหารที่กินแล้วมีแรงช่วยให้ตื่นตัว

หลายครั้งที่เราทำงานหนักติดต่อกันหลายๆ วัน หรือช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จนทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้า ไม่มีแรง แม้จะนอนตลอดเวลา ก็ยังรู้สึกไม่สดชื่น หรือมีอาหารอ่อนเพลียตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะหนุ่มสาวในวัยทำงานที่อาจจะทำให้ร่างกายรู้สึกล้าได้ง่าย และอาจจะส่งผลทำให้ป่วยได้ง่าย ดังนั้น อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวันนั้น

อาจเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยแก้อาการอ่อนล้าไม่มีแรงได้ หรือในกลุ่มผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย และอาจจะมีอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง หรือรู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวได้ช้า นั่นอาจเป็นเพราะว่าร่างกายขาดพลังงาน จึงส่งผลต่อกิจกรรมประจำวันของเรา โดยชนิดและปริมาณของอาหารที่เรารับประทานในแต่ละมื้อ ในแต่ละวัน มีบทบาทสำคัญมาก ๆ ต่อระดับพลังงานของเรา ดังนั้น วันนี้ทางเราจะมาแนะนำอาหารที่มีสารอาหารที่สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังงานและช่วยทำให้ตื่นตัวและโฟกัสได้เต็มที่

ถ้าหากเราพูดถึงเรื่องอาหารที่ให้พลังงานสูง คงหนีไม่พ้นอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะแหล่งอาหารสำคัญที่ให้พลังงานและช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเราควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คือการรับประทานโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมจึงถือว่าเพียงพอ แต่ถ้าหากออกกำลังกายอย่างหนักก็ควรเพิ่มปริมาณของโปรตีนให้เหมาะสม และควรเลือกเนื้อสัตว์ประเภทไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ หรือเนื้อแดงไม่ติดมัน เป็นต้น

นอกจากนี้ ไข่ไก่ ก็เป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง อุดมไปด้วยวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการผลิตพลังงานในร่างกาย ช่วยลดไขมัน ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย และยังมีส่วนประกอบของกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย มีโคลีนที่จำเป็นสำหรับสุขภาพสายตา ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย ต่อมาคือ ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ วอลนัต พีแคน บราซิลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ไพน์นัต เป็นกลุ่มของถั่วเปลือกแข็งมีสารอาหารสูง ให้พลังงาน

โดยเฉพาะกลุ่มของไขมันที่ดีต่อสุขภาพมากๆ รวมไปถึง ถั่วเหลือง เป็นพืชที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น แป้งถั่ว นมถั่วเหลือง หรือเต้าหู้ที่ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน กรดอะมิโนจำเป็น แร่ธาตุ หรือโปรตีน ที่มีส่วนช่วยในเพิ่มพลังงาน สร้างกล้ามเนื้อ บำรุงร่างกาย ให้สามารถมีแรงมีกำลังทำในสิ่งต่าง ๆ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ต่อมาคือ ข้าวกล้อง

ซึ่งเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ทำให้ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่มากกว่าข้าวขาว เช่น เส้นใย วิตามิน และแร่ธาตุ เพราะจำนวนเส้นใยที่มาก ให้น้ำตาลต่ำ จึงช่วยเพิ่มพลังงานได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก หรือน้ำตาลในเลือดสูง แถมยังช่วยรักษาระดับพลังงาน ทำให้รู้สึกอิ่มยาวนาน นอกจากนี้ ผลไม้อย่างกล้วย กล้วย ซึ่งเป็นผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบและหารับประทานได้ง่าย ถ้าหากเราต้องการพลังงานแบบเร่งด่วน กล้วยถือว่าเป็นแหล่งพลังงานที่ดี

เพราะนอกจากจะหาซื้อได้ง่าย รับประทานง่าย ยังมีสารอาหารสำคัญต่อร่างกายหลายชนิด เช่น วิตามินบี 6 วิตามินซี แมงกานีส โพแทสเซียม และเส้นใยอาหารที่ช่วยในการย่อย ดีต่อลำไส้ ดีต่อระบบขับถ่าย และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญอีกด้วย ต่อมา แอปเปิ้ล ผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ และวิตามินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

แม้ว่าแอปเปิ้ลจะเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานในช่วงควบคุมน้ำหนัก แต่ก็ให้พลังงานและวิตามินสูงแล้ว ยังช่วยให้อิ่มท้องได้นานด้วยไฟเบอร์ และเส้นใยอาหารจำนวนมากที่ช่วยชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรตในร่างกายด้วย ซึ่งอาหารที่เรากล่าวมานั้น เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือเหนื่อยล้าจากการทำงาน ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่า หากหันมารับประทานอาหารเหล่านี้ ก็จะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัว สดชื่นได้

 ย่างไรก็ตาม เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย ควรดื่มน้ำให้มากๆ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น มีแรงที่จะสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย

5
พูดคุยเรื่องทั่วไป / หมอประจำบ้าน: แผลอักเสบ (Infected wound)
« เมื่อ: วันที่ 16 กรกฎาคม 2025, 00:55:43 น. »
หมอประจำบ้าน: แผลอักเสบ (Infected wound)

แผลอักเสบเป็นภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนของบาดแผล (เช่น แผลถลอก มีดบาด ตะปูตำ หนามเกี่ยว สัตว์กัด เป็นต้น)

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (สเตรปโตค็อกคัส หรือสแตฟีโลค็อกคัส) เข้าไปทำให้อักเสบเป็นหนอง

อาการ

บาดแผลมีลักษณะปวด บวม แดง ร้อน หรือเป็นหนอง บางรายอาจมีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโตร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่มักดูแลรักษาให้หายขาด และไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ มีแผลอักเสบรุนแรง หรือไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นโลหิตเป็นพิษได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ในบางรายแพทย์อาจนำหนองจากรอยโรคไปตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ชะล้างแผลด้วยน้ำเกลือ (ใช้เกลือ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เดือด) หรือน้ำเกลือนอร์มัล (normal saline)

ถ้าเป็นหนองเฟะ ควรชะล้างด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ แล้วล้างด้วยน้ำเกลือ ใช้น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมเข้มข้น (น้ำตาลทราย 1 กก. ผสมในน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวบนเตาไฟ) ใส่แผล แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซสะอาด ควรทำแผลอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เมื่อเนื้อแผลแดงไม่มีหนองแล้ว ควรชะแผลด้วยน้ำเกลือเพียงอย่างเดียว ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ชะตรงเนื้อแผล

2. ถ้ามีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือแผลอักเสบมากให้ยาแก้ปวดลดไข้ และยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, ไดคล็อกซาซิลลิน, อีริโทรไมซิน, โคอะม็อกซิคลาฟ) นาน 5-7 วัน

3. ถ้าไข้ไม่ลดใน 3 วัน ซีดเหลือง หรือสงสัยเป็นโลหิตเป็นพิษ หรือบาดแผลมีลักษณะอักเสบรุนแรงในผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่ก่อน มักจะต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นแผลอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีไข้สูง หนาวสั่น ซึม หรือเบื่ออาหาร
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

แผลอักเสบเป็นหนองมักเกิดจากการดูแลบาดแผลสด (เช่น แผลถลอก มีดบาด) ที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรแนะนำการดูแลบาดแผลสด ดังนี้

    เมื่อมีบาดแผลสด ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที เพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกออกไป
    ทารอบแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน อย่าใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรวมทั้ง ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ทาหรือฟอกตรงเนื้อแผล เนื่องจากน้ำยาฆ่าเชื้ออาจทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายช้าได้
    อย่าให้แผลถูกน้ำ หรือใช้น้ำลาย น้ำหมาก หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ พอกที่แผล
    ควรพักส่วนที่เป็นบาดแผลให้มาก ๆ
    กินอาหารได้ตามปกติ ควรกินอาหารพวกโปรตีน ผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    ถ้าบาดแผลสกปรก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ

ข้อแนะนำ

1. ควรพักแขนขาส่วนที่มีบาดแผล (เช่น อย่าเดินหรือใช้งานมาก) และยกส่วนนั้นให้สูง เช่น ถ้ามีบาดแผลที่เท้า ควรนอนพักและใช้หมอนรองเท้าให้สูงกว่าระดับหน้าอก ถ้ามีบาดแผลที่มือ ควรใช้ผ้าคล้องแขนกับลำคอให้บาดแผลอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ

2. ไม่มีอาหารใด ๆ ที่แสลงต่อบาดแผล ไม่ว่าจะเป็น ไข่ เนื้อ ส้ม (ดังที่ชาวบ้านมักเชื่อกันอย่างผิด ๆ) ตรงกันข้ามควรบำรุงด้วยอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

3. ไม่ควรทาแผลด้วยเพนิซิลลิน (ทั้งชนิดขี้ผึ้งหรือยาฉีดที่เรียกว่า โปรเคน) หรือซัลฟา (ทั้งชนิดขี้ผึ้งหรือยาผง) ยานี้ระยะแรก ๆ อาจทำให้แผลแห้ง แต่ทาต่อไปจะทำให้เกิดการแพ้ มีอาการบวมคัน และแผลกลับเฟะได้ ถ้าจะใช้ยาทาควรใช้ขี้ผึ้งเตตราไซคลีนหรือครีมเจนตาไมซิน น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม

4. ผู้ที่เป็นแผลเรื้อรังไม่หายขาด อาจเนื่องจากมีภาวะซีดหรือขาดอาหาร จึงควรบำรุงอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารพวกโปรตีน

นอกจากนี้อาจมีสาเหตุจากเบาหวาน ควรตรวจดูน้ำตาลในปัสสาวะหรือในเลือด ถ้าสงสัยเป็นเบาหวาน ควรส่งโรงพยาบาล

5. ฉีดยาป้องกันบาดทะยักในรายที่จำเป็น

6
อาหารไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เสริมสร้างรายได้ ให้มีรายได้ประจำแหล่งรายได้ที่ยั่งยืน

อาหารไทยเป็นที่รู้จักและชื่นชอบไปทั่วโลก ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และความหลากหลายของเมนู ทำให้ธุรกิจอาหารไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าสนใจและสามารถสร้างรายได้ประจำได้เป็นอย่างดี อาหารไทยเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะหลงใหลในการทำอาหารหรือกำลังมองหาธุรกิจที่ทำกำไร การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้

ตั้งแต่แผงขายอาหารริมทางไปจนถึงร้านอาหารและการจัดส่งอาหารออนไลน์ มีหลากหลายวิธีในการเปลี่ยนอาหารไทยให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืน

เพราะเหตุใดอาหารไทยจึงเป็นธุรกิจที่ทำกำไร?

อาหารไทยได้รับความนิยมทั่วโลกเนื่องจากมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ หวาน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม และอูมามิ ความต้องการอาหารไทยแท้ๆ กำลังเพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต่างประเทศด้วย ด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่ค่อนข้างต่ำและฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ธุรกิจอาหารไทยจึงสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอได้

อาหารไทยยอดนิยมสำหรับธุรกิจอาหาร
หากคุณกำลังคิดจะเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทย ต่อไปนี้เป็นเมนูยอดนิยมบางส่วนที่สามารถช่วยดึงดูดลูกค้าได้:
ผัดไทย – เมนูที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่คนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ทำง่ายและขายได้ในปริมาณมาก
ต้มยำกุ้ง – เมนูรสชาติจัดจ้าน หอมกลิ่นเครื่องเทศ เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย
ส้มตำ – เมนูสดชื่นๆ ที่ใช้วัตถุดิบง่ายๆ และทำง่าย
ข้าวมันไก่ – อาหารธรรมดาๆ แต่แสนอร่อยที่ถูกใจคนจำนวนมาก
หมูปิ้ง – อาหารริมทางยอดนิยม ทำง่ายและขายได้ปริมาณมาก
ขนมไทย – ขนมไทยแบบดั้งเดิม เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง และพุดดิ้งมะพร้าว เป็นที่ต้องการอย่างมาก

ขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทย
เลือกโมเดลธุรกิจของคุณ – ตัดสินใจว่าคุณต้องการดำเนินกิจการแผงขายอาหาร ร้านอาหาร บริการจัดเลี้ยง หรือธุรกิจจัดส่งอาหารออนไลน์
เรียนรู้สูตรอาหาร – เชี่ยวชาญเทคนิคการทำอาหารไทยแท้เพื่อให้ได้อาหารคุณภาพสูง
วัตถุดิบที่มา – ใช้วัตถุดิบสดและคุณภาพสูงเพื่อคงรสชาติอันเข้มข้นของอาหารไทย
รับใบอนุญาตที่จำเป็น – รับใบอนุญาตด้านสุขภาพและธุรกิจเพื่อดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย
เลือกทำเลที่ตั้งที่ดี – พื้นที่ที่มีการสัญจรสูง เช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือใกล้สำนักงาน สามารถเพิ่มยอดขายได้
ทำตลาดธุรกิจของคุณ – ใช้โซเชียลมีเดีย โปรโมชั่น และการมีส่วนร่วมของลูกค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น

การขยายธุรกิจอาหารไทยของคุณ
เมื่อธุรกิจของคุณมั่นคงแล้ว พิจารณาขยายโดย:
ให้บริการจัดส่งอาหาร
การเป็นพันธมิตรกับแอปส่งอาหาร
การสร้างบริการจัดเลี้ยงสำหรับงานต่างๆ
จำหน่ายเครื่องปรุงอาหารไทยสำเร็จรูป หรือ ชุดทำอาหารไทยสำเร็จรูป

เปิดสาขาในสถานที่ใหม่
ตัวอย่างธุรกิจอาหารไทยที่ประสบความสำเร็จ:
ร้านอาหาร “บ้านไอซ์” ที่มีชื่อเสียงในเรื่องอาหารไทยรสชาติต้นตำรับ
ธุรกิจ “ครัววันดี” ที่จำหน่ายเครื่องแกงและน้ำพริกคุณภาพดี
แฟรนไชส์ “ธงไชย ผัดไทย” ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
การทำธุรกิจอาหารไทยให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความรักในอาหารไทย ความมุ่งมั่น และความอดทน หากคุณมีใจรักในอาหารไทยและมีความตั้งใจจริง คุณก็สามารถสร้างรายได้ประจำจากธุรกิจอาหารไทยได้อย่างแน่นอน

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยถือเป็นโอกาสอันคุ้มค่าสำหรับผู้ที่หลงใหลในการทำอาหารและการเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ วัตถุดิบคุณภาพสูง และกลยุทธ์การตลาดที่ดี คุณสามารถเปลี่ยนอาหารไทยให้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนได้ ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ความรักที่มีต่ออาหารไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมอาหารได้ในระยะยาว

7
พูดคุยเรื่องทั่วไป / โรคอหิวาต์ (Cholera)
« เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2025, 16:22:24 น. »
โรคอหิวาต์ (Cholera)

อหิวาต์ (อหิวาตกโรค โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง ก็เรียก) เป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว

ในสมัยก่อนพบว่าการระบาดแต่ละครั้งมีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นร้อยเป็นพัน จึงมีชื่อเรียกกันมาแต่โบราณว่า โรคห่า

ในปัจจุบันโรคนี้ลดความรุนแรงลง และพบระบาดน้อยลง มีรายงานโรคนี้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ พบประปรายทางภาคอีสานและภาคเหนือ โรคนี้พบในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่ มักพบในคนอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป สามารถพบได้ประปรายทุกเดือนตลอดทั้งปี มักพบในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี และในหมู่คนที่กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุกหรือขาดสุขนิสัยที่ดี

สาเหตุ

เกิดจากเชื้ออหิวาต์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า วิบริโอคอเลอรา (Vibrio cholerae) เชื้ออหิวาต์มีอยู่หลายชนิด ตัวก่อโรคที่สำคัญในปัจจุบัน ได้แก่ ชนิดเอลทอร์ (EI Tor)* กับวิบริโอคอเลอรา O139**

เชื้ออหิวาต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด คนเราสามารถติดเชื้อชนิดนี้โดยการกินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ ดื่มน้ำหรือกินอาหาร รวมทั้งน้ำแข็ง ไอศกรีมที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยมีแมลงวันหรือมือเป็นสื่อกลางในการนำพาเชื้อ แล้วผู้ติดเชื้อ (ผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ)*** ก็จะปล่อยเชื้อออกทางอุจจาระไปอยู่ตามดินและน้ำ ซึ่งแพร่กระจายสู่ผู้อื่นในวงกว้างจนเกิดการระบาดได้

นอกจากนี้ อาจติดจากผู้ติดเชื้อโดยการสัมผัสใกล้ชิด เชื้อสามารถติดผ่านมือเข้าไปในปากได้

เชื้ออหิวาต์จะรุกล้ำเข้าไปที่เยื่อบุลำไส้เล็กแล้วปล่อยสารพิษ (ชื่อ cholera toxin) ทำให้ลำไส้เล็กหลั่งน้ำและเกลือแร่ออกมาในอุจจาระจำนวนมาก เกิดอาการถ่ายเป็นน้ำ

ระยะฟักตัว 6 ชั่วโมง ถึง 5 วัน (ส่วนใหญ่ประมาณ 24-48 ชั่วโมง)

*เริ่มพบในปี พ.ศ. 2504 อยู่ในกลุ่ม วิบริโอคอเลอรา O1 ซึ่งแบ่งเป็นชนิดคลาสสิก (classic ซึ่งเป็นตัวก่อโรคระบาดร้ายแรงมาแต่เดิม) กับเอลทอร์ (ซึ่งก่อโรคที่มีความรุนแรงน้อยลง)
**เริ่มพบในปี พ.ศ. 2535
***ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น เชื้อมักอยู่ในอุจจาระช่วงสั้น ๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะถูกขับออกหมด ส่วนน้อยที่อาจมีเชื้อในอุจจาระเป็นเวลานาน

อาการ

ส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง คล้ายโรคท้องเดินทั่วไป หรืออาหารเป็นพิษ มักหายได้เองภายใน 1-5 วัน

ในรายที่เป็นมากมักมีอาการถ่ายเป็นน้ำรุนแรง อุจจาระมักจะไหลพุ่ง โดยไม่มีอาการปวดท้อง (ส่วนน้อยที่อาจมีอาการปวดบิดในท้อง) และมีอาการอาเจียนตามมาโดยที่ไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน (ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้) ระยะแรกอุจจาระมีเนื้อปน ลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง แต่ต่อมาจะกลายเป็นน้ำล้วน ๆ บางรายอุจจาระมีลักษณะเหมือนน้ำซาวข้าว ไม่มีกลิ่นอุจจาระ อาจมีกลิ่นคาวเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจถ่ายวันละหลายครั้งถึงหลายสิบครั้ง หรือไหลพุ่งตลอดเวลา ส่วนอาการอาเจียนนั้น แรกเริ่มออกเป็นเศษอาหาร ต่อมาเป็นน้ำ และน้ำซาวข้าว

หากเป็นรุนแรงมักถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 250 มล./กก./วัน และเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงและช็อกอย่างรวดเร็ว (ภายใน 4-18 ชั่วโมง) ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบแห้ง เป็นตะคริว ตัวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีมักจะเสียชีวิตภายในเวลาสั้น ๆ

ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะขาดน้ำรุนแรงและช็อก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันตามมา

นอกจากนี้ ยังทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ เกิดอาการตะคริว ภาวะเลือดเป็นกรด และภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา

บางรายอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเนื่องจากกินอาหารไม่ได้

หญิงตั้งครรภ์อาจแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมักตรวจพบภาวะขาดน้ำตั้งแต่ขนาดเล็กน้อยถึงรุนแรง อาจมีไข้ต่ำ ๆ ในรายที่เป็นรุนแรงจะพบภาวะช็อก หายใจเร็วจากภาวะเลือดเป็นกรด ในเด็กอาจพบว่ามีไข้ ชัก ซึม หรือหมดสติ

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อจากอุจจาระ (rectal swab culture) และตรวจเลือดดูความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่อาการไม่รุนแรง ไม่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง และยังกินอาหารหรือดื่มน้ำได้ดี ให้การรักษาแบบอาการท้องเดินหรืออาหารเป็นพิษทั่วไป คือให้กินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เก็บอุจจาระส่งเพาะเชื้อ เมื่อทราบผลการตรวจว่าเป็นโรคนี้ หรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ เช่น เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยอหิวาต์ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้ออหิวาต์

2. ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นน้ำรุนแรง อาเจียนรุนแรง กินไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

นอกจากให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้ออหิวาต์ แพทย์จะทำการปรับดุลสารน้ำและเกลือแร่ โดยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในรูปของริงเกอร์แล็กเทต (Ringer lactate) หรืออะซีทาร์ (Acetar) ถ้าไม่มีอาจใช้น้ำเกลือนอร์มัล (NSS) แทน โดยให้ในปริมาณที่สามารถทดแทนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และให้กินโพแทสเซียมคลอไรด์ หรือให้ทางหลอดเลือดดำถ้าอาเจียน

3. แพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคอหิวาต์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เตตราไซคลีน ดอกซีไซคลีน โคไตรม็อกซาโซล นอร์ฟล็อกซาซิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น

ผลการรักษา หากได้รับการรักษาได้ทันการ มักจะหายได้ภายใน 3-6 วัน หลังได้รับยาปฏิชีวนะ

เชื้อโรคอยู่ในอุจจาระผู้ติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ป่วย (ที่มีอาการแสดง) กับพาหะ (ที่ไม่มีอาการแสดง) เมื่อถูกขับถ่ายออกมาก็สามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่น โดยการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ (เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง) อาหาร น้ำดื่ม มือของผู้ติดเชื้อ (ที่ไม่ได้ล้างน้ำหลังถ่ายอุจจาระ) สิ่งของและสภาพแวดล้อมที่ถูกมือของผู้ติดเชื้อสัมผัส ทั้งนี้มีแมลงวันและแมลงสาบ (ที่ไต่ตอมอุจจาระของผู้ติดเชื้อ) เป็นพาหะนำเชื้อ

คนเราสามารถติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยทางใดทางหนึ่งดังนี้

1. ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบ ๆ บางกรณี (เช่น บิดอะมีบา ท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย) ก็อาจเกิดจากการดื่มน้ำประปา หรือกลืนน้ำในสระว่ายน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ

2. กินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ การปนเปื้อนเชื้ออาจเกิดจากข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

    แมลงวัน (และบางครั้งแมลงสาบ) เป็นพาหะนำเชื้อ
    มือของผู้ติดเชื้อ หรือมือของคนใกล้ชิดที่ปนเปื้อนเชื้อ (จากการสัมผัสมือของผู้ติดเชื้อ หรือสิ่งของ หรือสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อปนเปื้อน) ไปจับต้องอาหารหรือน้ำดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบอาหาร ผู้ให้บริการด้านอาหาร และสมาชิกในครอบครัวที่เป็นพาหะ จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ เพราะอาจไม่ระวังเนื่องจากไม่มีอาการแสดง
    ปนเปื้อนดินหรือน้ำที่มีเชื้อ รวมทั้งผักผลไม้ที่ปลูกโดยการใส่ปุ๋ยที่ทำจากอุจจาระคน และผักผลไม้ที่ล้างด้วยน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน

3. ติดต่อจากคนสู่คน โดยข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

    การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อภายในบ้าน สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้น โรงพยาบาล โรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ ค่ายทหาร ค่ายกิจกรรมต่าง ๆ โดยการใช้มือสัมผัสถูกมือของผู้ติดเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสถูกสิ่งของหรือสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อปนเปื้อน แล้วนำมือที่เปื้อนเชื้อนั้นสัมผัสปากของตนเองโดยตรง หรือไปเปื้อนถูกอาหารหรือน้ำดื่มอีกต่อหนึ่ง
    การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้ปากสัมผัสถูกทวารหนักหรืออวัยวะเพศของผู้ติดเชื้อ ซึ่งนิยมปฏิบัติในหมู่ชายรักร่วมเพศ การติดเชื้อโดยวิธีนี้อาจเกิดกับเชื้อโรคบางชนิดที่มีระยะของการเป็นพาหะนาน ๆ เช่น เชื้ออะมีบา เชื้อไกอาร์เดีย บิดชิเกลลา เป็นต้น

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ผู้ป่วยท้องเดินที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

หากตรวจพบว่าเป็นอหิวาต์ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

1. ดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำสะอาด ไม่ดื่มน้ำคลอง หรือดื่มน้ำบ่อแบบดิบ ๆ ไม่กินน้ำแข็งหรือไอศกรีมที่เตรียมไม่สะอาด กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และไม่มีแมลงวันตอม ไม่กินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังการถ่ายอุจจาระทุกครั้ง ควรถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อย่าถ่ายลงคลองหรือตามพื้นดิน

2. สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ควรนำอุจจาระและสิ่งที่ผู้ป่วยอาเจียนออกมาไปเทใส่ส้วมหรือฝังดินให้มิดชิด อย่าเทตามพื้นหรือลงแม่น้ำลำคลอง ส่วนเสื้อผ้าของผู้ป่วยที่แปดเปื้อนเชื้อ ห้ามนำไปซักในแม่น้ำลำคลอง ควรแช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือนำไปฝังหรือเผาเสีย

3. ในปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะแก่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากไม่ได้ผลและทำให้เชื้อดื้อยา แต่อาจพิจารณาให้ในกลุ่มคนขนาดเล็ก เช่น ในเรือนจำ หรือในชุมชนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกินร้อยละ 20

4. ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันอหิวาต์ชนิดใหม่ในรูปของการกินทางปาก (oral vaccine) ให้ 2 ครั้งห่างกัน 10-14 วัน ซึ่งสามารถใช้ป้องกันได้ผลดี แพทย์จะเลือกใช้ในบางกรณี เช่น ผู้ที่ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการระบาดของโรค เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการอุจจาระร่วงรุนแรง หรือสงสัยเป็นอหิวาต์ (เช่น เป็นผู้สัมผัสโรค หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค) แพทย์จะทำการเก็บอุจจาระส่งเพาะหาเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นอหิวาต์จะได้ดำเนินการควบคุมโรคไม่ให้เกิดการระบาด

2. สำหรับผู้สัมผัสโรค แพทย์จะทำการเก็บอุจจาระส่งเพาะหาเชื้อ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างน้อย 5 วัน ถ้าพบว่าเป็นพาหะก็ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดความรุนแรงของโรค และลดการแพร่กระจายเชื้อ

8
Doctor At Home: ศีรษะได้รับบาดเจ็บ (Head injury/Traumatic brain injury) เลือดออกในสมอง (Intracranial hemorrhage)

ศีรษะได้รับบาดเจ็บ (บาดเจ็บที่ศีรษะ ก็เรียก) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงไม่มาก ผู้ป่วยอาจมีอาการหัวโน ฟกช้ำที่หนังศีรษะ แผลฉีกขาดหรือแผลถูกตัดที่ศีรษะ หรือกะโหลกศีรษะร้าวหรือแตก โดยไม่กระทบต่อสมอง

แต่ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงมาก มักมีผลกระทบต่อสมอง เกิดอาการผิดปกติทางสมอง (เรียกว่า "สมองได้รับบาดเจ็บ/บาดเจ็บที่สมอง" หรือ "Traumatic brain injury/TBI") ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ได้แก่ สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองฟกช้ำหรือฉีกขาด ก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ (ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดในกะโหลกศีรษะฉีกขาด ทำให้มีเลือดออกในสมอง*) ส่งผลให้มีการทำลายเนื้อสมองส่วนต่าง ๆ เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ไปตามส่วนของสมองที่ถูกกระทบ

ถ้าสมองส่วนสำคัญได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ก็อาจทำให้เกิดอาการหมดสติ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ แขนขาเป็นอัมพาต ชัก เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตหรือพิการได้

* เลือดออกในสมอง อาจเกิดที่เยื่อหุ้มสมอง หรือในเนื้อสมองก็ได้ มักเกิดจากศีรษะได้รับบาดเจ็บเป็นส่วนใหญ่

ส่วนในรายที่ไม่มีประวัติการได้รับบาดเจ็บ อาจเกิดจากมีสาเหตุอื่น เช่น หลอดเลือดสมองแตกจากโรคความดันโลหิตสูง โรคเลือดที่มีภาวะเลือดออกง่าย  ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง  ภาวะเลือดออกที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือยากันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) เป็นต้น (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง")

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บที่สมอง

สาเหตุ

การบาดเจ็บมักเกิดจากอุบัติเหตุที่สำคัญ ได้แก่ อุบัติเหตุจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้ขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ (พบบ่อยในผู้ที่มีพฤติกรรมขับขี่รถขณะมึนเมา และไม่คาดเข็มขัดนิรภัยหรือสวมหมวกนิรภัย)

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการตกจากที่สูง ตกบันได หกล้มศีรษะกระแทกถูกของแข็ง อุบัติเหตุจากการปั่นจักรยาน การเล่นกีฬา หรือการทำงาน การทำร้ายร่างกาย ในทารกแรกเกิดก็อาจมีการบาดเจ็บของศีรษะจากการคลอดยาก เป็นต้น

อาการ

นอกจากบาดแผลหรืออาการฟกช้ำที่หนังศีรษะแล้ว ผู้ป่วยอาจแสดงอาการได้หลายลักษณะ ขึ้นกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมอง ดังนี้

1. สมองได้รับการกระทบกระเทือน (brain concussion) เกิดจากศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง (เช่น เกิดเหตุรถชนขณะขับมาด้วยความเร็ว ศีรษะถูกกระทบกระแทกขณะเล่นกีฬา) ทำให้เนื้อสมองส่วนต่าง ๆ ในกะโหลกเกิดการกระทบกระเทือน ส่งผลให้ทำงานผิดปกติไปชั่วคราว โดยที่การบาดเจ็บนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการฟกช้ำและการฉีกขาดของเนื้อสมอง หรือทำให้มีเลือดออกในสมอง

ผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมองอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุทันที หรือหลังเกิดเหตุเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ โดยอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน มีเสียงในหู (หูอื้อ) เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส คลื่นไส้ เป็นลม อ่อนล้า เซื่องซึม สับสน หลง ๆ ลืม ๆ ขาดสมาธิ นอนหลับยาก บุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม (หงุดหงิดง่าย อารมณ์แกว่งง่าย)

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหมดสติหลังการบาดเจ็บ ซึ่งจะเป็นอยู่เพียงชั่วครู่ ประมาณ 2-3 นาที หรือมากกว่า (น้อยรายมากที่อาจหมดสตินานเกิน 15 นาที) เมื่อฟื้นแล้วอาจรู้สึกงุนงง จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นอยู่เพียงชั่วขณะหรือเป็นวัน ๆ

อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไปได้เองใน 2-3 วัน หรือเป็นสัปดาห์ ๆ

บางรายอาจมีอาการต่อเนื่องนานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ ที่พบบ่อยคือ มีอาการปวดศีรษะ อ่อนล้า มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง หลง ๆ ลืม ๆ ขาดสมาธิ นอนหลับยาก หรือบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยอาจมีอาการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ ภาวะดังกล่าวเรียกว่า "กลุ่มอาการหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (post-concussion syndrome/PCS)"

สมองได้รับการกระทบกระเทือน นับว่าเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่ทำให้เสียชีวิต

2. สมองฟกช้ำ (brain contusion ซึ่งมักเกิดจากศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง) หรือสมองฉีกขาด (brain laceration ซึ่งมักเกิดร่วมกับกะโหลกศีรษะแตก และมีเศษกระดูกยุบไปทิ่มตำเนื้อสมอง)

ถ้ารอยโรคมีขนาดเล็กมาก มีผลกระทบต่อสมองเพียงเล็กน้อย ก็จะมีอาการทางสมองไม่มาก (เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน มีเสียงในหู เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อเสียงหรือแสง คลื่นไส้ เป็นลม อ่อนล้า เซื่องซึม สับสน หลงลืม ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ) ซึ่งจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง

ถ้ารอยโรคมีขนาดใหญ่ หรือรอยโรคมีขนาดเล็กแต่ทำให้สมองบวมหรือมีเลือดออก ก็จะมีอาการทางสมองที่รุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการหมดสติเป็นเวลาสั้น ๆ (ประมาณ 2-3 นาที) หรือมากกว่า เมื่อฟื้นแล้วมักมีอาการเซื่องซึม สับสน กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวาย บางรายอาจมีอาการชัก สูญเสียการทรงตัวหรือการประสานงานของกล้ามเนื้อ อาเจียน แขนขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ได้ ตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน หูตึง หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส บางรายอาจมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ ความคิดเชื่องช้าหรือติดขัด หรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ในรายที่การบาดเจ็บรุนแรงมาก อาจทำให้สมองบวมอย่างมาก และความดันในกะโหลกสูงมาก มีผลกระทบต่อสมองที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองเลื่อน (brain herniation) มีอาการสลบ (โคม่าหรือหมดสติอย่างต่อเนื่อง) และทำให้เสียชีวิตได้

 3. ก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ (intracranial hematoma) มักเกิดจากศีรษะได้รับบาดเจ็บจนทำให้หลอดเลือดในกะโหลกศีรษะฉีกขาด มีเลือดออก ค่อย ๆ สะสมเป็นก้อนเลือด (hematoma) ที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดที่เยื่อหุ้มสมองหรือในเนื้อสมองก็ได้ ก้อนเลือดจะกดดันเนื้อสมอง ทำให้เกิดอาการทางสมองที่ค่อย ๆ รุนแรงขึ้น ถือว่าเป็นภาวะร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้รวดเร็ว

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่องและรุนแรง อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึมลงเรื่อย ๆ เวียนศีรษะ สับสน พูดอ้อแอ้ รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน แขนขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ในที่สุดเมื่อก้อนเลือดมีขนาดโตมาก ก็จะมีอาการเซื่องซึม ชัก สลบ (โคม่าหรือหมดสติอย่างต่อเนื่อง)

บางรายหลังบาดเจ็บอาจรู้สึกเป็นปกติดีอยู่สักระยะหนึ่ง หรืออาจมีอาการหมดสติหลังบาดเจ็บอยู่ครู่หนึ่งแล้วฟื้นคืนสติได้เอง ในระยะต่อมาจึงค่อยเกิดอาการทางสมองดังกล่าวข้างต้น

ในรายที่มีก้อนเลือดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักมีอาการเกิดขึ้นทันที หรือภายใน 24 ชั่วโมง

ส่วนในรายที่มีก้อนเลือดค่อย ๆ เกิดสะสมโตขึ้นทีละน้อย ก็อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังบาดเจ็บเป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ ๆ หรือมากกว่า

ในรายที่เป็นก้อนเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกแบบเรื้อรัง (chronic subdural hematoma) ซึ่งมีเลือดซึมออกทีละน้อย ค่อย ๆ สะสมเป็นก้อนโต พบบ่อยในผู้บาดเจ็บที่สูงอายุ หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บเป็นวัน ๆ เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ ก็ได้ แล้วจึงค่อยมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งเป็นถี่และแรงขึ้นทุกที คลื่นไส้ อาเจียน ซึม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง แขนขาอ่อนแรง หรือชักแบบโรคลมชัก

สำหรับทารกแรกเกิดที่มีก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ มักมีประวัติคลอดยากหรือศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างคลอด มักจะมีอาการร้องเสียงแหลม ซึม อาเจียน ชัก แขนขาอ่อนแรงกระหม่อมโป่งตึง

เลือดออกในสมอง

อาการที่แสดงถึงความรุนแรงของผู้ป่วยศีรษะได้รับบาดเจ็บ

ถ้าพบอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน

    หมดสติ
    ชัก
    ปวดศีรษะรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
    อาเจียนรุนแรง หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง
    กระสับกระส่าย หรือซึมอย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 ชั่วโมง
    แขนขาชาหรืออ่อนแรง
    ทรงตัวไม่ได้ หรือเดินไม่ได้
    พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ได้
    ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน หูตึง (ไม่ได้ยิน) จมูกไม่ได้กลิ่น หรือลิ้นไม่รู้รส
    หายใจลำบาก หรือมีอัตราการหายใจต่ำกว่าปกติ
    ชีพจรเต้นช้า และความดันโลหิตสูง
    คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง)
    รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน
    มีเลือดหรือน้ำใส ๆ (น้ำสมอง-ไขสันหลัง) ไหลออกทางจมูก ปาก หรือหู
    จดจำผู้คนหรือสิ่งรอบข้างไม่ได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงอาจถึงตายได้ หรือไม่ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนในภายหลัง เช่น สมองพิการ แขนขาเป็นอัมพาต โรคลมชัก หูตึง หูหนวก ตามืดบอด พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ได้ สูญเสียการทรงตัว ความคิดสับสน ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคกังวล โรคซึมเศร้า

บางรายอาจมีสภาพเป็น "เจ้าชายนิทรา" ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า "สภาพผัก (vegetative state)" คือ มีสภาพที่ไม่ได้หมดสติ มีสัญญาณชีพปกติ (หายใจได้ หัวใจเต้นเป็นปกติ) และมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน แต่ไม่สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อม และสูญเสียความสามารถในการคิดและการตอบสนอง

สำหรับผู้ที่มีภาวะสมองได้รับการกระทบกระเทือน แม้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ถ้าหากปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำซาก (เช่น เล่นกีฬาที่มีการปะทะกันเป็นประจำ) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน โรคซึมเศร้า และภาวะสมองเสื่อมตอนอายุมากได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

อาจตรวจพบอาการหัวโน รอยฟกช้ำที่หนังศีรษะ ศีรษะแตก หรืออาจไม่พบรอยบาดแผลที่ศีรษะชัดเจนก็ได้

ในรายที่สมองได้รับบาดเจ็บรุนแรง ก็อาจตรวจพบอาการไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือหมดสติ แขนขาอ่อนแรง ตัวเกร็ง ชีพจรเต้นช้า หายใจตื้นขัด ความดันโลหิตสูง คอแข็ง รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน (รูม่านตาข้างที่โตกว่า จะไม่หดลงเมื่อใช้ไฟส่อง)

บางรายอาจมีบาดแผลหรือการบาดเจ็บหลายแห่ง เช่น กระดูกแขนขาหัก บาดแผลที่ทรวงอก กระดูกสันหลังหัก เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ตรวจเลือด เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

นอกจากดูแลรักษาบาดแผลที่ศีรษะที่ตรวจพบแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาอาการบาดเจ็บที่สมอง ดังนี้

1. ถ้ามีอาการทางสมอง เช่น หมดสติ ปลุกไม่ค่อยตื่น เซื่องซึม ปวดศีรษะมากขึ้นทุกขณะ อาเจียนรุนแรง คอแข็ง เพ้อคลั่ง ชัก บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง แขนขาอ่อนแรง รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือมีเลือดหรือน้ำใส ๆ ออกจากจมูก ปาก หรือหู เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะผิดปกติที่พบ เช่น ให้เลือด ให้น้ำเกลือ ให้ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ ยาลดไข้ ยาบรรเทาปวด ยากันชัก (ในรายที่มีอาการชัก)

ในรายที่พบว่ามีอาการสมองบวม (ซึ่งทำให้เกิดความดันในกะโหลกสูง มีอันตรายได้) อาจให้การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด

ถ้าตรวจพบว่ามีเลือดออกในสมองที่รุนแรง มักจะต้องทำการผ่าตัดสมองทันที

ในรายที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด (เช่น ผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดในสมองขนาดเล็ก) หรือในรายที่ผ่าตัดไม่ได้ (เช่น สมองฟกช้ำหรือฉีกขาด) ก็จะให้การรักษาแบบประคับประคอง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพด้วยการทำกายภาพบำบัด

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ  ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีประวัติหมดสติอยู่ชั่วขณะหรือไม่ก็ตาม แพทย์อาจรับตัวไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาลสักระยะหนึ่ง หรือไม่ก็อาจแนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปบ้าน และเฝ้าสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ถ้าพบมีอาการทางสมองอย่างใดอย่างหนึ่งแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง (อาจหลังบาดเจ็บนานเป็นวัน ๆ เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ) ก็ควรพาผู้ป่วยกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรง พวกที่มีอาการไม่มาก (เช่น สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองฟกช้ำหรือฉีกขาดเล็กน้อย) มักจะหายได้ภายในเวลาไม่นาน อาจเป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ ๆ

พวกที่มีอาการรุนแรง (เช่น สมองฟกช้ำหรือฉีกขาดที่รุนแรง มีก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ) ถ้าสมองไม่ได้ถูกทำลายมากและได้รับการรักษาได้ถูกต้องทันการ ก็มีโอกาสรอดชีวิตสูง และหายเป็นปกติหรือเกือบปกติได้ แต่บางรายอาจมีความพิการทางสมองบางส่วนอย่างถาวรได้

แต่ถ้าสมองได้รับผลกระทบรุนแรง หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป ก็มีโอกาสเสียชีวิตสูง หรืออาจมีความพิการที่รุนแรง เช่น อัมพาต พูดไม่ได้ หูหนวก สมองพิการ เป็นต้น บางรายอาจมีสภาพเป็น "เจ้าชายนิทรา"

การดูแลตนเอง

เมื่อมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรดูแลตนเองดังนี้

1. ไม่ว่าจะพบมีบาดแผลที่ศีรษะหรือไม่ หรือมีอาการทางสมองหรือไม่ ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อตรวจดูอาการและให้การดูแลรักษาตามความเหมาะสม

2. ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น หมดสติ ชัก ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง แขนขาชาหรืออ่อนแรง หายใจลำบาก มีเลือดหรือน้ำใส ๆ ออกจากจมูก ปาก หรือหู เป็นต้น ควรให้การปฐมพยาบาล และพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน

3. ถ้าแพทย์ตรวจไม่พบอาการผิดปกติทางสมอง และให้ผู้ป่วยกลับไปบ้าน ควรพักผ่อน หยุดทำกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสมอง (เช่น การเล่นกีฬา) ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการผิดปกติตามมา เช่น ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เซื่องซึมลง แขนขาชาหรืออ่อนแรง บ้านหมุน มีเสียงในหู (หูอื้อ) เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส เป็นลม เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ทันที

4. ถ้าแพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ควรดูแลรักษาตามที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสม (เช่น การผ่าตัดสมอง) และเมื่อแพทย์ให้ออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ควรปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน เซื่องซึมลง ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น
    บาดแผล (ที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด) มีการอักเสบ
    ขาดยา หรือยาหาย
    ถ้ากินยา (ที่แพทย์สั่งให้กลับมากินที่บ้าน) แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

หาทางป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บที่สำคัญ เช่น

    ในการขับขี่รถ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยาที่ทำให้ง่วงนอนทั้งก่อนและขณะขับขี่รถ คาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมวกนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
    ใช้อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ ขณะขี่จักรยาน ขี่ม้า เล่นกีฬา หรือทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ
    ระมัดระวังไม่ให้หกล้ม ตกจากที่สูงหรือตกบันได โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ

- จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน และสนามเด็กเล่นให้มีความปลอดภัย

- หลีกเลี่ยงการปีนขึ้นที่สูง หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง

- หลีกเลี่ยงการเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยานในบริเวณที่มีพื้นผิวที่ลื่น หรือขรุขระ หรือมีลักษณะต่างระดับ

- ไม่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาขณะเจ็บป่วยหรือร่างกายอ่อนล้า

- ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอนในช่วงกลางวัน หมั่นตรวจวัดสายตาและปรับแว่นที่ใช้ให้เหมาะ หมั่นบริหารร่างกายให้แข็งแรง และเวลาขึ้นลงบันไดก็ระวังอย่าเผลอสติ และใช้มือเกาะราวบันไดให้มั่นคง

- เฝ้าระวังเด็กเล็กขณะวิ่งเล่น ปีนป่าย หรือขึ้นลงบันได

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะทุกราย แม้จะไม่มีบาดแผลให้เห็น หรือมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่ศีรษะ หรือรู้สึกสบายดีตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรชะล่าใจว่าไม่เป็นไร ควรปรึกษาแพทย์ และเฝ้าสังเกตอาการทางสมองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และในสัปดาห์แรก ๆ หลังได้รับบาดเจ็บ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) ในการรักษาโรคบางอย่าง (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด) หากมีเลือดออกในสมอง มีโอกาสเกิดเลือดออกที่รุนแรงเป็นอันตรายได้ เนื่องเพราะยาเหล่านี้ทำให้เลือดหยุดยาก ดังนั้นควรระมัดระวังตัวไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะ หากมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ แม้ไม่มีอาการผิดปกติก็ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาได้ทันการ

2. บ่อยครั้งที่พบว่า ผู้ป่วยที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บและเกิดมีก้อนเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกแบบเรื้อรัง ซึ่งมักจะไม่มีอาการผิดปกติตั้งแต่แรก และไม่ได้ไปพบแพทย์หลังได้บาดเจ็บที่ศีรษะ ด้วยรู้สึกว่าไม่เป็นอะไรมาก เมื่อปรากฏอาการหลังบาดเจ็บนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ ผู้ป่วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ) จะจำเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ หากอาการทางสมองไม่ได้เด่นชัด เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ไม่ได้ประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะ อาจทำให้วินิจฉัยโรคได้ล่าช้าเกินไป ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุ ผู้ป่วยควรจดบันทึกไว้หรือแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบ และแจ้งให้แพทย์ทราบ แพทย์ก็จะได้ข้อมูลที่สำคัญนี้ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและการรักษาได้ทันท่วงที

3. ผู้ป่วยที่มีภาวะบาดเจ็บที่สมองบางราย หลังผ่าตัดสมองจนปลอดภัยและร่างกายฟื้นตัวได้ดี อาจมีโรคลมชักแทรกซ้อนตามมา ซึ่งจำเป็นต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป

9
ดอกบัวในโถแก้ว: ชนิดสายพันธุ์บัวในประเทศไทย ที่นิยมนำมาทำดอกบัวแห้ง


ในประเทศไทย ชนิดของดอกบัวที่นิยมนำมาทำดอกบัวแห้งนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบัวที่มีกลีบดอกแน่น อวบ และคงรูปได้ดีหลังจากการอบแห้ง เพื่อรักษารูปทรงและสีสันให้สวยงาม ซึ่งได้แก่:


บัวหลวง (Sacred Lotus / Indian Lotus - Nelumbo nucifera)

ลักษณะเด่น: เป็นบัวขนาดใหญ่ที่สุด มีกลีบดอกซ้อนกันหลายชั้น ก้านแข็งแรงและชูพ้นน้ำ มีหลากหลายสี เช่น ชมพูอ่อน ชมพูเข้ม และขาวนวล

เหตุผลที่นิยม: บัวหลวงเป็นที่นิยมมากที่สุดในการทำดอกบัวแห้ง เพราะมีโครงสร้างดอกที่แข็งแรง กลีบดอกแน่น ทำให้คงรูปได้ดีหลังการอบแห้ง โดยเฉพาะการอบแห้งด้วยสารดูดความชื้น (Silica Gel) จะช่วยรักษาสีสันและรูปทรงให้ใกล้เคียงดอกสดได้มากที่สุด เหมาะสำหรับการทำดอกบัวแห้งเพื่อการตกแต่ง หรือทำชาดอกบัว


บัวฉัตร / บัวสัตตบุษย์ (Pana Lotus / Blue Lotus - Nymphaea nouchali และสายพันธุ์ลูกผสมอื่นๆ)

ลักษณะเด่น: เป็นบัวในกลุ่มบัวสาย แต่มีลักษณะดอกที่ค่อนข้างซ้อนเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร มีสีสันหลากหลาย เช่น ชมพูอมม่วง ชมพูสด หรือขาว ขนาดเล็กกว่าบัวหลวงเล็กน้อย

เหตุผลที่นิยม: ด้วยความที่กลีบดอกซ้อนกันและมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป ทำให้บัวฉัตรเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับการอบแห้ง สามารถรักษารูปทรงและสีสันได้ดีเช่นกัน และมักใช้ทำดอกบัวแห้งสำหรับตกแต่ง หรือทำชาดอกไม้ (โดยเฉพาะบัวที่มีกลิ่นหอม)


ข้อสังเกต:

บัวสายอื่นๆ (Water Lily - Nymphaea spp. เช่น บัวผัน, บัวเผื่อน): แม้จะเป็นบัวที่สวยงามและมีหลากหลายสีสัน แต่บัวสายส่วนใหญ่มักมีกลีบดอกที่บอบบางกว่า และดอกมักจะลอยแตะผิวน้ำ หรือชูพ้นน้ำเล็กน้อย ซึ่งอาจจะทำให้การคงรูปทรงหลังจากการอบแห้งทำได้ยากกว่าบัวหลวงหรือบัวฉัตร อย่างไรก็ตาม บางสายพันธุ์ที่มีกลีบดอกแน่นและอวบพอสมควร ก็สามารถนำมาอบแห้งได้เช่นกัน แต่ผลลัพธ์อาจไม่คงรูปเท่าบัวหลวง

โดยรวมแล้ว บัวหลวง คือสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำดอกบัวแห้งในประเทศไทยครับ

10
การจัดฟันเด็ก เครื่องมือกันฟันล้มในเด็ก คืออะไร

เด็กไทยส่วนใหญ่ มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน โดยเฉพาะเรื่องของการเกิดฟันผุ ถือว่าพบมากในเด็ก ส่วนใหญ่จะมีฟันผุตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันน้ำนมผุ มาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่วัยทารก เช่น การปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู นอกจากนี้ ปัญหาฟันน้ำนมผุ ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ และสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เด็กไทยสมัยนี้มีฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเยอะ เคี้ยวลูกอม หมากฝรั่ง 


แล้วไม่ยอมแปรงฟันหรือทำความสะอาดช่องปากและฟันไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน มักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่าย จนบางครั้งอาจจะทำให้เกิดการสูญเสียฟันตั้งแต่อายุยังน้อย หรือสูญเสียฟันน้ำนมก่อนเวลาอันควร ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะส่งผลต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้ อาจจะทำให้เกิดฟันเก ฟันซ้อน หรือฟันแท้หายได้ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาบุตรหลานเข้ารับการแก้ไข หรืออาจจะพาลูกเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพราะในวัยเด็กก็สามารถข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี เพราะเด็กในวัยนี้มักจะมีปัญหาในเรื่องของฟันผุมาก ซึ่งนอกจากการจัดฟันในเด็กแล้ว ก็ยังมีตัวช่วยซึ่งเป้นเครื่องมือที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันล้มได้ บางครั้งเด็กที่มฟันผุและสูญเสียฟัน มีโอกาสที่จะเกิดฟันล้มได้สูง ดังนั้น เครื่องมือดังกล่าว ก็สามารถป้องกันฟันล้มได้

ซึ่งเครื่องมือกันฟันล้มนั้น เด็กควรใส่ก็ต่อเมื่อมีการสูญเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควร โดยทันตแพทย์จะพิจารณาให้ใส่เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟัน เพื่อป้องกันเอาไว้ เพราะถ้าหากปล่อยไว้และไม่ใส่เครื่องมือกันฟันล้ม อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันล้มเอียงมาทางช่องว่างระหว่างฟันนั้น ทำให้ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันซ้อนเกทำให้สูญเสียความสวยงาม และอาจจะทำให้เด็กมีนิสัยที่ผิดปกติ เช่น เอาลิ้นมาดุนช่องว่างที่เกิดขึ้น กระดูกเบ้าฟันหนาตัว มีผลให้ฟันแท้ที่อยู่ข้างใต้ขึ้นช้ากว่าปกติได้

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือกันฟันล้มนี้ ก็มีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบถอดได้ เครื่องมือคงสภาพฟันชนิดที่สามารถใส่และถอดมาทำความสะอาดได้เอง กับอีกแบบหนึ่งคือ แบบติดแน่น เครื่องมือคงสภาพชนิดติดแน่น ไม่สามารถถอดเครื่องมือออกได้ ซึ่งเครื่องมือกันฟันล้มนี้ มีประโยชน์คือ สามารถช่วยรักษาช่องว่างระหว่างฟันได้ ช่วยทำให้ฟันแท้ขึ้นได้ตามปกติและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ป้องกันปัญหาฟันเกหรือฟันขึ้นผิดที่ได้ ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มาก นอกจากนี้ เมื่อเด็กติดตั้งเครื่องมือกันฟันล้มในช่องปากแล้ว พ่อแม่หลายคนกังวลว่าเจ็บไหม

บอกเลยว่า ไม่เจ็บ แต่อาจจะทำให้รู้สึกรำคาญได้ในช่วงแรก ซึ่งเด็กมักปรับตัวได้เร็ว สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่มีบุตรหลานของท่านมีปัญหาฟันล้ม ก็สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เครื่องมือกันฟันล้ม หรือถ้าหากอยากแก้ไขปัญหาฟันในเด็กในระยะยาว ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ เพราะถือว่า การจัดฟันในเด็ก จะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ดีกว่า และยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันในเด็กได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ที่จะคอยให้คำแนะนำและวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง สามารถช่วยพูดทำความเข้าใจและสร้างทัศนคติให้เด็กเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันได้ เพื่อให้เด็กได้มีความเข้าใจและรักษาความสะอาดฟันได้อย่างถูกต้อง เพื่อทำให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

11
ความสำคัญกับการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงาน

การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาวมากกว่าแค่การประหยัดค่าใช้จ่ายครับ นี่คือเหตุผลหลักๆ ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญนี้:

ความสำคัญของการติดตั้งฉนวนกันความร้อนในโรงงาน:

การควบคุมอุณหภูมิกระบวนการผลิต (Process Control):

โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากมีกระบวนการผลิตที่ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความร้อนสูง (เช่น เตาหลอม, ท่อไอน้ำ) หรือความเย็นจัด (เช่น ห้องเย็น, ท่อสารทำความเย็น)

ฉนวนกันความร้อนช่วยให้สามารถ รักษาอุณหภูมิที่ต้องการให้คงที่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียพลังงานความร้อนหรือความเย็นที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต หากอุณหภูมิไม่คงที่ อาจทำให้สินค้าเสียหาย หรือกระบวนการผลิตหยุดชะงักได้

ประหยัดพลังงานอย่างมหาศาล:

โรงงานใช้พลังงานจำนวนมากในการควบคุมอุณหภูมิ ไม่ว่าจะเป็นระบบทำความร้อน ทำความเย็น หรือเครื่องจักรที่สร้างความร้อน

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคา ผนัง ท่อส่งไอน้ำ ท่อส่งของเหลวร้อน/เย็น หรืออุปกรณ์ต่างๆ จะช่วย ลดการถ่ายเทความร้อน ระหว่างภายในและภายนอก หรือระหว่างอุปกรณ์กับสภาพแวดล้อม ทำให้ระบบทำความร้อน/ทำความเย็นทำงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิงลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญ

ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและยืดอายุเครื่องจักร:

อุณหภูมิที่สูงเกินไปหรือผันผวนบ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เช่น แบริ่ง ซีล มอเตอร์ หรือแม้กระทั่งโครงสร้างของเครื่องจักร

ฉนวนกันความร้อนช่วย รักษาอุณหภูมิการทำงานของเครื่องจักรให้คงที่และเหมาะสม ลดความเครียดจากความร้อน (Thermal Stress) และการสึกหรอ ทำให้เครื่องจักรมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ลดความถี่ในการซ่อมบำรุง และลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่หรือซื้อเครื่องใหม่

เพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงาน:

ในโรงงานมีอุปกรณ์และท่อส่งที่มีอุณหภูมิสูงมาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อพนักงานหากสัมผัสโดน

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะช่วย ลดอุณหภูมิพื้นผิว ของอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้ปลอดภัยต่อการสัมผัส ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุจากการถูกความร้อนลวก ซึ่งนอกจากจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลและค่าชดเชยต่างๆ ด้วย

สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น:

อุณหภูมิที่เหมาะสมภายในโรงงานช่วยให้พนักงานรู้สึกสบายตัวมากขึ้น ไม่เหนื่อยล้าจากความร้อนอบอ้าว ซึ่งส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่สบายตัว

ลดมลภาวะทางเสียง:

ฉนวนกันความร้อนหลายชนิดมีคุณสมบัติในการดูดซับเสียงได้ดี ช่วยลดเสียงรบกวนจากเครื่องจักรภายในโรงงาน หรือเสียงจากภายนอก ทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานเงียบสงบขึ้น

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม:

การลดการใช้พลังงานในโรงงานโดยตรงหมายถึงการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions) สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดภาวะโลกร้อน และแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร

ป้องกันการควบแน่นและการกัดกร่อน:

ในระบบทำความเย็น หากไม่มีฉนวนหรือฉนวนเสียหาย จะเกิดการควบแน่นของไอน้ำบนพื้นผิวเย็น ซึ่งนำไปสู่การเกิดสนิม การกัดกร่อน และความเสียหายต่อท่อและอุปกรณ์ ฉนวนช่วยป้องกันปัญหานี้ได้

การลงทุนในฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับประเภทของโรงงาน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มความปลอดภัย และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวครับ

12
บริหารจัดการอาคาร: เราจะแก้ปัญหากินอับชื้นจากแอร์ได้อย่างไร

เครื่องปรับอากาศ ปัจจุบันนั้นมีมากมายและหลากหลายชนิด จนบางครั้งอาจจะเลือกไม่หมด และที่สำคัญควรเลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไรให้เข้ากับบ้านหรือห้องภายในที่อยู่อาศัยที่เราต้องการด้วย ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้อำนวยความสะดวกในการปรับอุณหภูมิให้ห้องที่ต้องการให้เย็นลง แน่นอนว่า ประเทศของเรามีอากาสที่ร้อนมาก จึงไม่แปลกใจที่เครื่องปรับอากาศมีความจำเป้นในการดำเนินชีวิตของใครหลายคน

แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูงมากขึ้น แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่า เครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายบ้านต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้านเครื่องใหม่และอาจจะสงสัยว่า ช่วงที่ช่างที่มาติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่บ้านของเรานั้น ทำงานเรียบร้อยหรือไม่หรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือเปล่า

เพราะปัจจัยที่กล่าวมานั้น ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของเรา เพราะถ้าหากเราจะต้องเสียงเงินเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศใหม่แล้วก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่เราติดตั้งไปแล้ว จะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง นอกจากนี้ การใช้งานเครื่องปรับอากาศ เมื่อใช้งานไปนานๆอาจจะส่งกลิ่นอับชื้น หรือถ้าหากเปิดในช่วงหน้าฝน ก็จะยิ่งเกิดกลิ่นอับชื้นได้ง่าย ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับการกำจัดกลิ่นอับชื้นที่เกิดจากแอร์ที่เราใช้งาน เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่ประสบปัญหาได้แก้ไขได้อย่างถูกต้อง

 
การเปิดเครื่องปรับอากาศ ในเรื่องของควมาชื้นหรือกลิ่นอับ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ความซับซ้อนระหว่างปฏิกิริยาของความอบอ้าว ความเย็น ความชื้น อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับห้องที่ปรับอากาศได้เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ ปัญหาความชื้นสะสมในห้องหลังปิดเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากถ้าหากเราเปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเราปิดเครื่องปรับอากาศในช่วงที่อากาศยังมีความชื้นอยู่ภายในอากาศมาก แล้วเราเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศภายนอกเข้ามาภายในห้องได้ทันที ห้องจะเกิดอาการชื้นขึ้นทันทีเช่นกัน
 
ดังนั้น เราควรใช้งานเครื่องปรับอากาศให้ถูกต้อง ซึ่งปัญหาความชื้นหรือกลิ่นอับ เป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงได้ สำหรับเคล็ดลับการแก้กลิ่นอับชื้นในเครื่องปรับอากาศของเรานั้น สามารถทำได้ด้วยการตรวจเช็คแผ่นกรองฝุ่นในเครื่องปรับอากาศเป็นประจำทุกเดือน โดยการแกะแผ่นกรองอากาศออกมาเพื่อทำความสะอาด และนำไปตากแดดหรือผึ่งให้แห้ง

จากนั้นทำการเปิดปุ่ม Fanmode หรือ Drymode ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้พัดลมได้ปัดเป่าความชื้นออกไปให้หมด หรือถ้าหากไม่มีการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศ ก็ควรเปิดหน้าต่างหรือประตู เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท ปัญหากลิ่นอับชื้นก็จะลดลงและหายไปในที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือการปรุงอาหารในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศ

เนื่องจากจะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในเครื่องปรับอากาศ และทำให้เครื่องปรับอากาศเกิดการอุดตันและมีกลิ่นเหม็นอับชื้นได้ง่ายนั่นเอง ทั้งนี้ เราสามารถป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ โดยการหมั่นดูแลและล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอก็ถือเป็นการป้องกันไม่ให้แอร์ส่งกลิ่นเหม็นได้ โดยบริเวณแผงขดท่อคอยล์เย็นควรล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกปี ส่วนแผงกรอกฝุ่นก็ควรจะทำความสะอาดทุกเดือน

เพราะเจ้าแผงกรองฝุ่นหรือฟิลเตอร์นี้ เป็นชิ้นส่วนที่มีฝุ่นเกาะอยู่มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอร์ที่ติดตั้งไว้ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ยิ่งควรถอดล้างให้ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทุกสัปดาห์ ส่วนระยะเวลาในการล้างทำความสะอาดชุดคอยล์ร้อน ควรล้างในทุก ๆ  6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นและช่วยบำรุงรักษาแอร์ของเราไปในตัวด้วย

 
อย่างไรก็ตาม ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสมกับคุณ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

13
หมอประจำบ้าน: ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia)

ภาวะตัวเย็นเกิน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิลดต่ำเกิน อันเป็นผลมาจากการสัมผัสถูกความหนาวเย็น เช่น อยู่ในอากาศหนาว หรือแช่ในน้ำเย็นจัด ทำให้อุณหภูมิแกน (core temperature) ของร่างกายลดต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้อวัยวะต่าง ๆ (โดยเฉพาะหัวใจและสมอง) ได้รับผลกระทบและทำหน้าที่ไม่ได้ตามปกติ เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง เป็นอันตรายถึงตายได้

มักพบในผู้ที่เผชิญกับความหนาวเย็นโดยขาดการป้องกันร่างกายให้อบอุ่นเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

สาเหตุ

1. เกิดจากการสัมผัสกับความหนาวเย็น เช่น อากาศหนาว หรือแช่อยู่ในน้ำเย็นจัด มักพบในคนอายุไม่มากที่ร่างกายแข็งแรง เกิดขึ้นเนื่องจากอุบัติเหตุเป็นส่วนใหญ่

2. เกิดจากร่างกายสูญเสียกลไกปรับอุณหภูมิ ทำให้ไม่สามารถสร้างและเก็บความร้อนในร่างกายได้ มักพบในผู้สูงอายุ (มากกว่า 65 ปี) ผู้ที่มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อน (เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต โรคสมองเสื่อมหรือปัญญาอ่อน พาร์กินสัน เบาหวานที่มีภาวะประสาทเสื่อม ภาวะขาดไทรอยด์ ภาวะขาดอาหาร เป็นต้น) ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือกินยานอนหลับหรือยากล่อมประสาท บุคคลกลุ่มนี้เมื่อสัมผัสอากาศเย็นพอประมาณ (ไม่ถึงกับหนาวมาก) อุณหภูมิร่างกายก็จะลดลงถึงขั้นเป็นอันตรายได้

อาการ

ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีอาการสั่น พูดอ้อแอ้ เดินเซ งุ่มง่าม อ่อนเพลีย ง่วงซึม หงุดหงิด สับสน ความสามารถในการคิดและตัดสินใจด้อยลง (ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่ากำลังได้รับอันตราย)

ต่อมาเมื่ออุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงไปอีก ผู้ป่วยจะหยุดสั่น มีอาการเพ้อคลั่ง ไม่ค่อยรู้ตัว ในที่สุดหมดสติและหยุดหายใจ


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะตัวเย็นเกินส่งผลกระทบต่ออวัยวะแทบทุกส่วน ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ มักเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้น (asystole) หรือหัวใจห้องล่างเต้นระรัว (ventricular fibrillation)

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะเลือดเป็นกรด (metabolic acidosis) โพแทสเซียมในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง ปอดอักเสบ ไตวาย ภาวะเลือดข้น ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ตับอ่อนอักเสบ ทางเดินอาหารเป็นแผลหรือเลือดออก หลอดลมหดเกร็ง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ระยะแรก (อุณหภูมิวัดทางทวารหนักมีค่า 32-35 องศาเซลเซียส) จะพบว่าผิวหนังเย็นและซีด มีอาการสั่น หายใจเร็ว ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง

แต่ถ้าอุณหภูมิร่างกายลดมาก (วัดทางทวารหนักมีค่าต่ำกว่า 32 องศาเซลเซียส) ผู้ป่วยจะไม่มีอาการสั่น หายใจช้า ชีพจรเต้นช้าหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่ำ ปากเขียว ตัวเขียว รูม่านตาโตทั้ง 2 ข้าง หรืออาจพบผู้ป่วยหมดสติ หยุดหายใจ คลำชีพจรไม่ได้


การรักษาโดยแพทย์

เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน และรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แพทย์จะรีบหาวิธีทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น เช่น ห่มผ้านวมหรือผ้าห่มหนา ๆ เช่น น้ำอุ่นหรือประคบด้วยน้ำอุ่น ห่มผ้าห่มไฟฟ้า (electric blanket) ให้สารน้ำที่อุ่นเข้าทางหลอดเลือดดำ ให้หายใจอากาศที่อุ่นเข้าร่างกาย การสวนน้ำอุ่นทางกระเพาะอาหาร ทวารหนัก กระเพาะปัสสาวะ ช่องท้อง โพรงเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น

ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจหรือชีพจรไม่เต้น จะต้องรีบทำการกู้ชีพ (CPR) ใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ออกซิเจน ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ปรับดุลอิเล็คโทรไลต์ในเลือด

แพทย์จะประเมินอาการและภาวะแทรกซ้อนโดยการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น และทำการแก้ไขภาวะผิดปกติตามที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นก่อนมาถึงโรงพยาบาล ถ้าได้รับการรักษาได้เร็ว ก็มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าร้อยละ 75

แต่ถ้าได้รับการรักษาช้าเกินไป หรือมีปัจจัยเสี่ยง (เช่น โรคเรื้อรัง) อยู่ก่อน ผลการรักษาก็มักไม่ดี


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นภาวะตัวเย็นเกิน เช่น มีอาการสั่น พูดอ้อแอ้ เดินเซ งุ่มง่าม อ่อนเพลีย ง่วงซึม หงุดหงิด สับสน ความสามารถในการคิดและตัดสินใจด้อยลง หลังจากมีการสัมผัสถูกความหนาวเย็น (เช่น อยู่ในอากาศหนาว หรือแช่ในน้ำเย็นจัด) ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที


การปฐมพยาบาล

เมื่อพบผู้ป่วยมีภาวะตัวเย็นเกิน ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน ก่อนส่งควรให้การปฐมพยาบาลดังนี้

1. พาผู้ป่วยหลบอากาศและลมที่หนาวเย็น หรือขึ้นจากน้ำเย็น เข้าไปในห้องที่อบอุ่นและไม่มีลมเข้า

2. ถ้าเสื้อผ้าเปียกน้ำควรปลดออก และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แห้งแทน

3. อบอุ่นร่างกายด้วยการห่อหุ้มร่างกายผู้ป่วยด้วยผ้านวม ผ้าห่มหนา ๆ หรือเสื้อผ้าหนา ๆ ในกรณีที่ยังอยู่ในกลางแจ้ง ควรคลุมถึงหน้าและศีรษะ (เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากบริเวณนี้) นอกจากนี้อาจนอนกอดหรือแนบชิดร่างกายผู้ป่วย เพื่อถ่ายเทความร้อนให้ผู้ป่วย

4. จับให้ผู้ป่วยนอนนิ่ง ๆ ในท่านอนหงายบนพื้นที่อบอุ่นหรือมีผ้าหนา ๆ ปูรอง หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็น ห้ามนวดหรือแตะต้องตัวผู้ป่วยแรง ๆ อาจกระเทือนให้หัวใจหยุดเต้นได้

5. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ให้ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ห้ามมีแอลกอฮอล์ผสม เพราะยิ่งจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อน

6. ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ทำการเป่าปาก ถ้ายังหายใจได้แม้จะแผ่ว ๆ ก็ยังไม่ต้องทำการกู้ชีพ อาจกระเทือนให้หัวใจหยุดเต้นได้


การป้องกัน

การป้องกันอันตรายจากความเย็น ควรปฏิบัติ ดังนี้

1. สวมใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่นเพียงพอ ห่มผ้าห่มหรือผ้านวมหนา ๆ หรือผิงไฟให้อบอุ่น

2. หลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสอากาศหนาวหรือลมหนาวนอกบ้าน ถ้าเลี้ยงไม่ได้ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้เพียงพอ รวมทั้งปกคลุมถึงหน้าและศีรษะ ใส่ถุงมือถุงเท้า

3. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

4. ในช่วงอากาศหนาวเย็น ควรดูแลกลุ่มเสี่ยง (เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง) เป็นพิเศษ ไม่ให้ได้รับอันตราย

ข้อแนะนำ

1. แม้ว่าในบ้านเราอากาศจะไม่หนาวมาก แต่ในช่วงฤดูหนาวในแต่ละปีก็พบมีรายงานผู้เสียชีวิตจากอากาศหนาวในภาคเหนือและภาคอีสาน ดังนั้น เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวจึงควรหาทางป้องกันไม่ให้รับอันตราย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรัง

2. โรคนี้จัดว่าเป็นภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินร้ายแรง หากพบผู้ป่วยถูกความหนาวเย็น และมีอาการสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรรีบให้การปฐมพยาบาลและนำส่งโรงพยาบาลทันที

14
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease - CKD) เป็นภาวะที่ไตถูกทำลายและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (มากกว่า 3 เดือน) ซึ่งนำไปสู่การสะสมของของเสียในร่างกาย และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง ทั้งที่สามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ดังนี้ค่ะ:

ปัจจัยเสี่ยงหลักและสาเหตุสำคัญ

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus):

เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเป็นเวลานาน น้ำตาลในเลือดที่สูงจะทำลายหลอดเลือดเล็กๆ ในไตที่ทำหน้าที่กรองของเสีย ทำให้ไตเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ

โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension):

เป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 2 ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้เป็นเวลานาน จะทำให้หลอดเลือดในไตแข็งตัวและเสียหาย ส่งผลให้การทำงานของไตลดลง

โรคไตอักเสบชนิดต่างๆ (Glomerulonephritis / Nephritis):

เป็นการอักเสบของหน่วยไตที่ทำหน้าที่กรองเลือด (Glomeruli) ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

โรคไตอักเสบจากการติดเชื้อ: เช่น หลังการติดเชื้อสเตรปโตคอคคัส

โรคไตอักเสบจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune diseases): เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus - SLE หรือโรคพุ่มพวง), โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)

โรคไตอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ: เช่น IgA nephropathy, Focal Segmental Glomerulosclerosis (FSGS)

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

อายุที่มากขึ้น:

โดยทั่วไป ความสามารถในการทำงานของไตจะลดลงตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

โรคทางพันธุกรรม:

โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease - PKD): เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดถุงน้ำจำนวนมากในไต ทำให้ไตทำงานผิดปกติและเสื่อมสภาพลง

ความผิดปกติของไตแต่กำเนิด หรือภาวะไตไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรกเกิด

การอุดกั้นทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง:

นิ่วในไตหรือท่อไต: หากนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้ปัสสาวะคั่งค้างและสร้างแรงดันย้อนกลับไปที่ไต

ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย: ทำให้ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ และส่งผลกระทบต่อไตได้

ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (Vesicoureteral Reflux - VUR): พบบ่อยในเด็ก ทำให้ปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะไหลย้อนขึ้นไปที่ไต

การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะซ้ำๆ หรือรุนแรง (Recurrent UTIs / Pyelonephritis):

โดยเฉพาะการติดเชื้อที่ลุกลามไปถึงกรวยไตและเนื้อไต (กรวยไตอักเสบ) หากเป็นซ้ำๆ หรือเป็นเรื้อรังอาจทำให้เนื้อไตเสียหายได้

การใช้ยาบางชนิดอย่างไม่เหมาะสมหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน:

ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs): เช่น Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac หากใช้ต่อเนื่องเป็นประจำ หรือใช้ในปริมาณสูง

ยาปฏิชีวนะบางชนิด: โดยเฉพาะกลุ่ม Aminoglycosides หากใช้ไม่ระมัดระวัง

ยาชุด ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน ยาแผนโบราณ: ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้รับการรับรอง หรือมีส่วนผสมของสารเคมี โลหะหนัก (เช่น ปรอท ตะกั่ว) หรือยาสเตียรอยด์

อาหารเสริมบางชนิด: หากมีส่วนประกอบที่ส่งผลเสียต่อไต หรือรับประทานเกินขนาด

โรคอ้วน (Obesity):

ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคไต นอกจากนี้ยังอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นในการกรองเลือด

การสูบบุหรี่:

การสูบบุหรี่ทำลายหลอดเลือดทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดในไต ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงไตลดลง และเร่งการเสื่อมของไต

พฤติกรรมการรับประทานอาหาร:

การรับประทานอาหารรสเค็มจัด: ทำให้ไตทำงานหนักในการขับโซเดียมส่วนเกิน และอาจนำไปสู่ความดันโลหิตสูง

การรับประทานอาหารโปรตีนสูงมากเกินไป: ในระยะยาวอาจเพิ่มภาระให้กับไต

การดื่มน้ำน้อย: อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้นในการขับของเสีย และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไต

โรคเกาต์ (Gout) หรือมีระดับกรดยูริกในเลือดสูง:

กรดยูริกที่สูงเกินไปสามารถตกผลึกในไตและทำให้เกิดความเสียหายได้

การทราบถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดโรคไตเรื้อรังได้ โดยการควบคุมโรคประจำตัวให้ดี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และเข้ารับการตรวจสุขภาพไตอย่างสม่ำเสมอค่ะ

15
ที่เที่ยวไทย หน้าฝน ใกล้กรุงเทพ 2568 เที่ยวไหนดี บรรยากาศกรีนๆ สดชื่น

เอาใจนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติกับ ที่เที่ยวหน้าฝน ใกล้กรุงเทพ 2568 บรรยากาศดีๆ รับ Green Season นี้ ให้เราได้ออกไปชิล สูดอากาศดีๆ ใน พื้นที่สีเขียว สัมผัสธรรมชาติกรีนๆ ฉ่ำๆ กันสักหน่อย จะสายลุยหรือสายชิลก็เลิฟเลยค่ะ หน้าฝนนี้ เที่ยวไหนดี จดลิสต์เลย!

1. บางกระเจ้า สมุทรปราการ

      ธรรมชาติสีเขียวหาได้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ บางกระเจ้า พื้นที่สีเขียวในอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการค่ะ ที่นี่เปรียบเสมือนปอดกลางกรุงซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ให้สูดได้เต็มปอด และมีกิจกรรมยอดนิยมอย่างการปั่นจักรยานเที่ยวรอบบางกระเจ้า สัมผัสวิถีชุมชน หาของอร่อยๆ ทาน พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด แม้จะมีวันหยุดเพียงวันเดียว ก็เที่ยวได้สบายๆ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลบางกระเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : แตกต่างกันได้ตามแต่ละสถานที่

2. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

     ใครชอบเที่ยวภูเขา แต่ไม่อยากเดินทางไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เราขอแนะนำ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เลยค่ะ ที่นี่เป็นอุทยานฯ ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 4 จังหวัด ได้แก่ สระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และ นครนายก แม้บางส่วนอาจจะปิดไม่ให้ท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่สามารถเข้าไปสัมผัสธรรมชาติสวยๆ ได้ค่ะ ไปชมความงามของ น้ำตกเหวสุวัต ชมวิวภูเขาแบบพาโนรามาที่ จุดชมวิวผาเดียวดาย ชมพระอาทิตย์ตกที่ อ่างเก็บน้ำสายศร หรือจะไปส่องสัตว์ป่าก็น่าตื่นเต้นไม่น้อย

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

3. วังน้ำเขียว นครราชสีมา

      หน้าฝนแบบนี้ จะขาด วังน้ำเขียว นครราชสีมา ไปไม่ได้เลยค่ะ ด้วยวิวที่สวยงาม โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ และอากาศสดชื่นเย็นสบาย มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติมากมายให้เราได้ไปพักใจ ไม่ว่าจะเป็น ผาเก็บตะวัน น้ำตกม่านฟ้า อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง รวมถึงฟาร์มน่ารักๆ ต่างๆ ให้ครอบครัวพาเด็กๆ ไปให้อาหารสัตว์ และถ่ายรูปสวยๆ ด้วย เหมาะสำหรับสายชิลที่ต้องการพักผ่อนแบบไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : แตกต่างกันไปแล้วแต่ละสถานที่

4. น้ำตกวังตะไคร้ นครนายก

      ดื่มด่ำกับธรรมชาติและสูดอากาศบริสุทธิ์กันต่อที่ น้ำตกวังตะไคร้ หรือ อุทยานวังตะไคร้ นครนายก ค่ะ อุทยานสวยที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และพรรณไม้นานาชนิด มีสายน้ำที่ไหลมาบรรจบกันถึง 2 สายด้วยกัน ซึ่งมีต้นน้ำมาจาก น้ำตกแม่ปล้อง และ น้ำตกเหวกฐิน

     เพลิดเพลินชมธรรมชาติ และสนุกกับการเล่นน้ำ ล่องแก่ง โดยเฉพาะให้ช่วงหน้าฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม น้ำในลำธารจะไหลเชี่ยว เล่นล่องแก่งได้สนุกมาก แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยนะคะ นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมผจญภัยต่างๆ มากมายให้เราไปสนุกกันได้เต็มที่

    🌿 ที่อยู่ :  ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

5. เขื่อนขุนด่านปราการชล นครนายก

     เขื่อนขุนด่านปราการชล ที่เที่ยวนครนายก ที่เป็นที่นิยมมากๆ เพราะเป็น ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ และมีธรรมชาติที่สวยงามค่ะ เขื่อนยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้งน้ำตก และภูเขา โดยมีไฮไลท์เป็น น้ำตกช่องลม โอบล้อมไปด้วยเนินเขาสีเขียว โขดหิน และลำธาร บรรยากาศสดชื่น ชุมฉ่ำสุดๆ ในช่วงหน้าฝน แถมยังวิวสวย ถ่ายรูปปังสุดๆ

    🌿 ที่อยู่ : บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 07.00-17.00 น.

6. ทุ่งโปรงทอง ระยอง

     เที่ยวชมป่าสีเขียวและทองอร่ามของ ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส จังหวัดระยอง แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่นอกจากจะเป็นป่าชายเลน แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็กแล้ว ยังมีความสวยงามน่าทึ่ง ด้วยป่าโกงกางและไม้โปรงที่ขึ้นเขียวขจี ส่งผลให้บริเวณนี้ร่มรื่น เย็นสดชื่น มองดูแล้วสบายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ส่องแสงสะท้อนป่าแห่งนี้จนเป็นสีทองสวยจับใจเลยค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลปากน้ำกระแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
    ⏰ เปิดให้บริการ : 06.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -

7. สวนพฤกษศาสตร์ระยอง ระยอง

     สวนพฤกษศาสตร์ระยอง ที่เที่ยวธรรมชาติระยอง ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและรวบรวมพรรณไม้ของ ภาคตะวันออก รวมถึงอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุ์พืช โดยเฉพาะสภาพนิเวศวิทยาของพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าเสม็ดค่ะ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็น ที่เที่ยวระยอง ที่น่าสนใจไม่แพ้การไปเที่ยวทะเลที่อื่นๆ เลย

     นักท่องเที่ยว คนรักธรรมชาตินิยมมาปั่นจักยานศึกษาธรรมชาติ พายเรือคายัก ล่องเรือชมธรรมชาติพื้นที่ชุ่มน้ำ และชม ป่าเสม็ดดึกดำบรรพ์ ซึ่งเป็นป่าเสม็ดขาวผืนสุดท้ายของภาคตะวันออกที่มีความสมบูรณ์นั่นเอง เรียกว่าได้ทั้งศึกษาและชมธรรมชาติ และถ่ายรูปสวยๆ ไปในเวลาเดียวกันเลย

    🌿 ที่อยู่ : หมู่ 2 ตำบลชากพง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

8. แพริมน้ำ กาญจนบุรี

      หนีร้อนไป นอนแพ ที่ กาญจนบุรี กันดีกว่า ใครที่อยากสัมผัสธรรมชาติของเมืองสายน้ำ ที่นี่มีแพให้เลือกพักหลายแห่งทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีรีสอร์ทริมแม่น้ำแคว ดื่มด่ำวิวสวยๆ ของขุนเขาและสายน้ำ ล่องแพไปเล่นน้ำ พายเรือคายัก หรือปั่นจักรยานเที่ยว ก็เป็นทริปที่สนุกไม่น้อย ยิ่งช่วงหน้าฝนแบบนี้ เราจะได้เห็นสายหมอกริมแม่น้ำให้ได้สดชื่นใจกันอีกด้วย

    🌿 ที่อยู่ : จังหวัดกาญจนบุรี
    📍 พิกัด : ริมแม่น้ำแคว และ เขื่อนศรีนครินทร์
    ⏰ เปิดให้บริการ : แตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่

9. อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพชรบุรี

      อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี และที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดค่ะ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม จนได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ แห่งที่ 6 ของประเทศไทย ไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานคือ กางเต็นท์นอนดับดาว ตื่นเช้ามาชมทะเลหมอกที่ เขาพะเนินทุ่ง ชมผีเสื้อหลากสีที่ แคมป์บ้านกร่าง และเดินเล่นชมวิวที่ เขื่อนแก่งกระจาน

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

10. ห้วยขาแข้ง อุทัยธานี

     เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หรือ ห้วยขาแข้ง เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ อีกแห่งหนึ่งในเมืองไทยที่มีพื้นที่ครอบคลุมถึง3 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่ อุทัยธานี กาญจนบุรี และ ตาก ค่ะ ซึ่งมีการรวมพื้นที่ของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้วย ทำให้ที่นี่เป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว

      ภายในห้วยขาแข้งนั้นมีกิจกรรม และพิกัดท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดินเล่นตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ เรียนรู้เกี่ยวกับผืนป่าและสัตว์ป่าที่ อาคารมรดกโลกทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง ส่องสัตว์ที่ โป่งช้างเผือก และ ริมห้วยทับเสลา หรือ กางเต็นท์พักแรมในป่าห้วยขาแข้งตามพื้นที่ที่อนุญาตก็ได้เช่นกันค่ะ เชื่อว่าสายลุยและสายเที่ยวธรรมชาติจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.

11. หุบป่าตาด อุทัยธานี

     หุบป่าตาด อุทัยธานี ป่าดึกดำบรรพ์ที่ซุกซ่อนอยู่ใน ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ อายุเก่าแก่ถึง 245-286 ล้านปี ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนเป็นเวลานาน ก่อให้เกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ เมื่อเพดานหินพังทลายลงมา พืชพรรณที่อยู่ด้านบนก็ร่วงหล่นลงมาด้วย ก่อให้เกิดเป็นป่าภายในโพรงถ้ำ หากจะเข้าไปที่ป่าแห่งนี้จะต้องเดินผ่านถ้ำก่อน ให้ฟีลเหมือนผจญภัยในโลกดึกดำบรรพ์อย่างนั้นเลย แถมยังมีไฮไลท์เป็น กิ้งกือมังกรสีชมพู ด้วย ลองไปเดินส่องน้องดูได้นะคะ

    🌿 ที่ตั้ง : หุบป่าตาด อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.00 น.

12. น้ำตกเจ็ดสาวน้อย สระบุรี

      ที่เที่ยวหน้าฝน ใกล้กรุงเทพฯ ที่อยากแนะนำให้มาเที่ยวเล่นกันเลยก็คือ น้ำตกเจ็ดสาวน้อย สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่ง อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีค่ะ ที่นี่เป็นน้ำตกชั้นเตี้ยๆ จำนวน 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงตั้งแต่ 2-5 เมตร สายน้ำสีสวยไหลลดหลั่นกันลงมาเป็นธารน้ำตกกว้าง ให้ฟีลชุ่มฉ่ำมากๆ ทีเดียว ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปสูดกลิ่นอายธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ ต้องมาที่นี่เลยค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : หมู่ 9 ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

13. อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก สระบุรี

     อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก สระบุรี เขื่อนดินที่ใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการผลิตน้ำประปา และยังเป็นที่เที่ยวอีกแห่งของสระบุรีด้วยค่ะ เพราะมีถนนเลียบสันเขื่อนสำหรับให้มา ปั่นจักรยาน หรือ วิ่งออกกำลังกาย รีแลกซ์ชมวิวภูเขาสวยๆ ระหว่างทางค่ะ ทำให้ที่นี่เป็นอีกจุดชมวิวที่สวยงาม บรรยากาศดี เหมาะแก่การมาพักผ่อนชิลๆ ใกล้กรุงเทพฯ ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -

14. อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ลพบุรี

     กินลมชมวิวที่ อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก หรือ ห้วยซับเหล็ก ที่เที่ยวธรรมชาติ ลพบุรี ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่จนถูกยกให้เป็นทะเลน้ำจืดกลางเมืองลพบุรีอีกด้วย เสน่ห์ของอ่างเก็บน้ำแห่งนี้คือทิวทัศน์ของผืนน้ำอันกว้างใหญ่ โดยมี เขาจีนแล เขาตะกร้า และ เขาพญาเดินธง โดดเด่นสง่างามเป็นพื้นหลัง เหมาะกับการไปพักผ่อน สัมผัสลมเย็นๆ ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ ให้เราได้ไปชมธรรมชาติ ถ่ายรูปกันเพลินๆ ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน
    🖱 เว็บไซต์ : -

15. น้ำตกวังก้านเหลือง ลพบุรี

     ที่เที่ยวธรรมชาติลพบุรี น่าไปเที่ยวไม่แพ้อีกแห่งหนึ่งก็คือ น้ำตกวังก้านเหลือง ซึ่งตั้งอยู่ใน สวนรุกขชาติวังก้านเหลือง เขตป่าสงวนแห่งชาติชัยบาดาล ค่ะ ที่นี่เป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่มาก มีน้ำไหลตลอดปี แต่มีลักษณะพิเศษก็คือ ต้นน้ำของน้ำตกแห่งนี้มาจากตาน้ำที่อยู่ใต้ดิน ขนาดใหญ่มากๆ จำนวนหลายจุดด้วยกัน ซึ่งผุดขึ้นมาจากลำห้วยมะกอกนั่นเองค่ะ ไม่ได้เป็นน้ำตกที่ไหลลั่นลงมาตามหน้าผา น้ำผุดแห่งนี้ จะไหลเป็นทางเป็นระยะประมาณ 1 กิโลเมตรด้วยกัน แล้วค่อยมารวมกันที่บริเวณสันหินปูน กลายเป็นน้ำตกลงมาสวยงาม

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -

หน้า: [1] 2 3 ... 39